นายกฯยันไม่รื้อรังนกกระจอก แค่จะปรับปรุงให้ดีขึ้น สะดวก-สบาย ต่อการทำงาน เปิดอกคุยสื่อหนักใจเป็นนายกฯ 3 เดือน บอกตั้งใจอยู่ครบ 4 ปี ขอสื่ออย่าโยงสีถุงเท้า เข้าการเมือง
เมื่อเวลา 13.50 น. วันที่ 27 ธ.ค.66 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ลงจากตึกไทยคู่ฟ้า เดินมาที่รังนกกระจอก ห้องทำงานของสื่อมวลชน เพื่อทักทายอย่างอารมณ์ดีและสอบถามถึงความเป็นอยู่และบอกถึงความตั้งใจที่จะปรับปรุงรังนกกระจอกว่า ถ้าจะทุบของเก่า คงไม่ได้ โดยจะต้องใช้การปรับปรุง พร้อมกับระบุว่า สื่อมวลชนเขียนข่าวรื้อเร็วเกินไปว่าจะมีการปรับปรุงรังนกกระจอกให้เป็น Co-working space พร้อมยืนยันว่า “ผมไม่ได้ย้ายรังนกกระจอก คุณเขียนแบบนี้ ผมไม่คิดจะย้าย แต่ผมจะทำให้ดีขึ้น มันก็มีคนไปปั่นว่าผมจะย้าย” ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะย้อนถามกลับสื่อมวลชน “คุณก็เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ อยากปรับปรุงแก้ไขให้มันดีขึ้น ขยายไซด์ให้มันใหญ่ขึ้น” ซึ่งการจะปรับปรุงก็ต้องมีการออกแบบ ที่จะต้องให้ทางกรมศิลปากร ดูแต่หลักใหญ่คือต้องการให้มีความสะดวกสบายในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวยังขอให้นายกฯมาดูห้องผู้สื่อข่าว 3 ว่ามีความคับแคบ นายกฯได้บอกต่อว่า หากจะให้มีการปรับปรุงตรงไหน ก็ขอให้แจ้ง
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้แซวว่า วันนี้นายกฯใส่ถุงเท้าสีส้ม แต่นายกฯบอกว่า วันนี้ใส่สีแสด ผู้สื่อข่าวเลยถามกลับว่า เป็นเพราะนายกฯไม่ชอบสีส้มใช่ไหม นายกฯ ตอบกลับว่า “ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบสีส้ม แต่ผมใช้คำว่าสีแสด อย่าบิดไปทางการเมือง” ซึ่งนายกฯใส่ถุงเท้าทุกสี แต่ชอบใส่สีแดงมากกว่าสีอื่นและใส่แบบนี้มานานมากแล้ว ถ้าใครติดตามตนจะทราบโดยเฉพาะนักข่าวเศรษฐกิจ
เมื่อถามว่า การทำงานกับผู้สื่อข่าวการเมืองตลอด 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหา แต่ละคนมีหน้าที่ของตัวเอง โดยไม่รู้สึกโกรธเวลาที่ถูกถามด้วยคำถามที่แรง ซึ่งหน้าที่ผู้สื่อข่าวคือการสื่อสาร บางครั้งที่ตนเองตอบและพูดตรงๆ เป็นหน้าที่
เมื่อถามย้ำว่า นายกฯจะอยู่ครบ 4 ปีหรือไม่ “ผมตั้งใจ ผมตั้งใจ” หากอยู่ครบ 4 ปีก็เป็นธรรมดาที่มีเรื่องจะต้องสู้เยอะ เพราะเป็นความต้องการของประชาชนแต่ถ้าหยุดทำงานก็จะบ่งบอกถึงจุดจบ ซึ่งไม่มีอะไรที่จะบันทอนจิตใจ
เมื่อถามย้ำว่า ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีเรื่องอะไรที่ทำให้บันทอนจิตใจหรือไม่ นายกฯหยุดคิดสักครู่ ก่อนจะตอบว่า “เอาตรงๆ เลยนะ เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกี่ยวกับฝ่ายการเมือง ฝ่ายผู้สื่อข่าว แต่เรื่องที่สะเทือนใจที่สุดคือ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของไตรภาคี ผมไม่ได้เสียใจที่มีคนกล่าวหาว่า นายกทำอะไรไม่ได้ ซึ่งช่วงเช้าผมก็ได้พูดไปแล้ว” นายกฯถามกลับผู้สื่อข่าวว่า “เอางี้ พวกคุณจบมาย้อนหลังไป 10 ปี ถ้าเงินเดือนคุณ 15,000 นั้นหมายความว่าเงินเดือนคุณจะขึ้นเป็น 17,000 ตลอดระยะเวลา กว่า 9 ปี เพราะขึ้นแค่ 12%” และได้ถามกลับว่า ทุกคนแฮปปี้ไหม
เมื่อถามว่า ตอนที่นายกฯเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชน ทำอย่างไรกับการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท นายกฯ ตอบกลับทันทีว่า ให้ไปดู Digital footprint ว่าตนเคยโวยวายหรือไม่
เมื่อถามต่อว่า นายกฯได้ไปดูในสมัยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ว่าทำไมถึงทำได้ในการปรับขึ้นค่าแรง นายกฯกล่าวว่า สมัยก่อนกับสมัยนี้ ยุคสมัยเปลี่ยนไป ซึ่งไม่แน่ใจว่า 9 ปีที่แล้ว ไตรภาคีมีอำนาจกับการปรับขึ้นค่าแรงหรือไม่ แต่ทั้งนี้แม้ว่าตนเองไม่สามารถทำอะไรได้ ก็จะผลักดันต่อไป เราอาจจะคุยในแต่ละสาขาอาชีพ และให้แก้ไขกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเรื่องแก้ไขกฎหมายเป็นวิธีคิด ซึ่งสามารถคิดได้ ทั้งนี้นายกฯได้ย้ำว่า การขึ้นค่าแรง อยากให้นึกถึงใจเขาใจเรา เช่น เรียนจบมา 9 ปี ได้เงินเดือนมา 30,000 บาท มาถึงตอนนี้ ได้เงินเดือนแค่ 33,700 บาท พอใจหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แล้วมีเรื่องอะไรที่นายกฯแฮปปี้ที่สุด หลังจากเป็นนายกฯ นายกฯระบุว่า ไม่มีอะไรแฮปปี้ที่สุดการได้มาเป็นนายกฯถือว่าเป็นหน้าที่