“โรม” ซัด “กกต.” รวบรัดตัดตอนไม่เปิดโอกาส “ก้าวไกล” แจงเหตุผล ส่งให้ศาลซอย ปลุกสังคมคิดยุบพรรคการเมืองไม่ใช่ให้บ้านเมืองดีขึ้น มีแต่ถอยหลัง ลั่นพรรคเสนอกม.-ออกแคมเปญทำตามขั้นตอนถูกต้อง
วันที่ 14 มี.ค.67 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงหากสุดท้ายพรรคก้าวไกลถูกยุบ สส.ที่เหลืออยู่จะยังจับมือไปด้วยกันหรือไม่ว่า ก็ยังอยู่ในกระบวนการของการที่เราจะต้องเตรียมการรับมือในทุกรูปแบบ แต่ตอนนี้อยากโฟกัสเรื่องอภิปรายฯ ส่วนเรื่องการยุบพรรค การต่อสู้เพื่อไม่ให้เราถูกยุบ พยายามชี้ให้องค์กรที่มีอำนาจให้เข้าใจว่าการยุบพรรคไม่ได้ช่วยอะไร หรือทำให้การเมืองดีขึ้น เพราะคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นองค์กรที่ต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นธรรม เป็นส่วนสำคัญในการทำให้กระบวนการทางการเมืองไปต่อได้ แต่การยุบพรรคทำให้ประเทศไทยอยู่กับที่ หรือล้าหลัง แล้วจะทำแบบนี้ต่อไปทำไม
“สิ่งที่อยากชวนให้ทุกคนคิดคือไม่ใช่แค่การยุบพรรค แต่ต้องให้ความเป็นธรรมกับเราด้วย เพราะกรณีกกต.มีมติ ออกไป แต่ไม่ได้มีกระบวนการให้เราเข้าชี้แจง โต้แย้งก่อนเลย อยู่ๆรวบรับตัดความ จะบอกว่าฟังเป็นที่ยุติแล้วแบบนั้นไม่ได้ กกต. เป็นองค์กรที่ใช้อำนาจ มีดุลพินิจจึงต้องฟังว่าพรรคก้าวไกล มีเหตุผล มีหลักฐาน มีข้อโต้แย้งอะไรบ้าง หากไม่ให้กระบวนการแบบนี้กับเราแล้วสุดท้ายสังคมไทยจะอยู่กันได้อย่างไร จะถูกมองว่าทำไมพรรคก้าวไกลถึงโดนแบบนี้ แต่ทำไมพรรคภูมิใจไทยถึงแตกต่างกัน คนจะรู้สึกว่าพรรคก้าวไกลถูกปองร้าย โดยมีธงทางการเมือง ซึ่งอาจจะมีหรือไม่มีก็ไม่ทราบ แต่ที่สุดถ้าสังคมขาดความเชื่อมั่นในระบบการเมือง ระบบการเมืองก็ไปต่อไม่ได้”นายโรม กล่าว
นายโรม กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะเรื่องของพรรคก้าวไกล แต่สำคัญอีกประการหนึ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่พูดกัน เนื่องจากพรรคก้าวไกลเป็นหนึ่งในพรรคหลักของฝ่ายค้าน หากพรรคก้าวไกลถูกยุบ การทำหน้าที่ของฝ่ายค้านจะเป็นอย่างไรต่อไป สังคมโลกจะมองว่าสุดท้ายเป็นกระบวนการทำลายฝ่ายค้านหรือไม่ ผลดีผลเสียมีหมด ยืนยันว่าสิ่งที่เราได้ทำในการเสนอกฎหมาย การออกแคมเปญเลือกตั้ง ซึ่งกกต.ก็รับรองว่าเป็นนโยบายของพรรคก้าวไกล หรือแม้กระทั่งการยื่นกฎหมายก็ยื่นตามกระบวนการตามกฎหมาย ซึ่งไม่เคยมีกฎหมายบอกว่า กรณีมาตรา 112 นั้น ห้ามแก้ไข หรือห้ามลดโทษ เพราะหากมีกฎหมายห้ามเรื่องนี้ไว้ เราก็จะไม่ทำ แต่เมื่อไม่มีกฎหมายแบบนี้เอาไว้เลย และเราพยายามใช้กลไกของสภา ใคร หรือพรรคการเมืองไหนไม่เห็นด้วยก็โหวตกันในสภา มันอยู่กันด้วยระบบแบบนี้ แต่พอไปใช้มาตรา 49 การล้มล้างการปกครองก็สร้างความไม่แน่นอนต่อระบบกฎหมายเราค่อนข้างมาก