“คุณหญิงสุดารัตน์” เสนอรัฐบาลประกาศแผน “ยุทธการสยบโควิด” ให้จบในปี 64 สร้างความเชื่อมั่น เร่งเปิดประเทศอย่างปลอดภัยเพื่อให้คนไทยกลับมาทำมาหากินได้อย่างปกติสุข
เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 64 คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคไทยสร้างไทย โพสต์ข้อความผ่านเพจ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan ดิฉันขอเสนอให้รัฐบาล เร่งประกาศแผน “ยุทธการสยบ COVIDให้จบในปี 64” เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ทั้งเรื่องสุขภาพ และเศรษฐกิจ ‘เร่งเปิดประเทศ’ อย่างปลอดภัยภายในสิ้นปีนี้
เพื่อให้คนไทยกลับมาทำมาหากินได้อย่างปกติสุข โดย
- บริหารแผนวัคซีนใหม่ ให้คนไทยได้วัคซีน’เพียงพอ’ และ’เร็วทัน’ สร้างภูมิคุ้มกัน ชนะ Covid เร็วที่สุด
- เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจและรักษา เพื่อรักษาชีวิตคนไทยให้สูญเสียน้อยที่สุด
- เร่งออกมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ไม่ให้คนไทยตายเพราะอด
ขณะนี้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจ ว่า COVID จะจบเมื่อไหร่ วัคซีนจะมาเมื่อไหร่ จะเปิดทำการค้าขายได้เมื่อไหร่ คนไทยกำลังสิ้นหวัง มองไม่เห็นอนาคตของตนเอง
และยังไม่ได้คำตอบจากผู้นำ
ในขณะที่ ผู้นำทั่วโลก กำลังเร่งวางแผนสยบ COVID เร่งฉีดวัคซีน เพื่อสร้าง’ภูมิคุ้มกันหมู่’ ให้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ เพื่อเปิดประเทศ ฟื้นเศรษฐกิจ อย่างอิสราเอล เป็นต้น หันกลับมามองที่ประเทศไทยเราฉีดวัคซีนได้น้อยมาก เพียง 0.1% เท่านั้น ครองแชมป์รองบ๊วยในอาเซียน วัคซีนเป็น “หัวใจ” สำคัญ ที่จะสร้างความเชื่อมั่น เพราะไม่เพียงสกัดการระบาดของ COVID แต่วัคซีนคือ “เครื่องปั๊มหัวใจ” ของเศรษฐกิจไทย อีกด้วย
ดิฉันจึงขอเสนอให้รัฐบาลเร่งดำเนินการในเรื่องต่อไปนี้ อย่างจริงจัง
1.บริหารจัดการแผนวัคซีนใหม่ทั้งหมด
1.1) ฉีดให้มากพอ : ตั้งเป้าฉีดให้คนไทยอย่างน้อย 50 ล้านคน หรือ 70% ของประชากรเพื่อให้เกิด “ภูมิคุ้มกันหมู่” เดิมรัฐบาล สั่งวัคซีนมาแค่ 63 ล้านโดส ฉีดได้เพียง 31.5 ล้านคน ยังไม่ถึงครึ่งของคนไทยเลย ดังนั้นต้องเร่งสั่งซื้อเพิ่ม ’จากทุกยี่ห้อ’ อีก 40 ล้านโดส ซึ่งใช้งบไม่เกิน 40,000 ล้านบาท โดยดิฉันเสนอให้ตัดจากงบประจำปี64 ที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนทั้งหมด ทั้งงบซื้ออาวุธ ซื้อเรือดำน้ำ สร้างตึก ฯลฯ ถ้ายังไม่พอให้ขอความร่วมมือไปยัง’ท้องถิ่น’ เพื่อขอนำเงินสะสม มาสมทบ ซึ่งท้องถิ่นเขามาพบดิฉัน และบอกว่าเขายินดีสนับสนุนแนวคิดดิฉันเต็มที่และเปิดโอกาสให้รพ.เอกชน มาร่วมซื้อวัคซีน เพื่อช่วยกันฉีดให้ประชาชนได้มากขึ้น
ถ้ามองอย่างนักบริหารจะเห็นว่า การซื้อวัคซีนอีก 40 ล้านโดส ใช้งบไม่เกิน 40,000 ล้านบาท คุ้มค่ามหาศาลต่อชีวิต และเศรษฐกิจที่’พัง’ เพียงไตรมาสเดียวกว่า 4.5 แสนล้าน (จากม.หอการค้า) ถ้าถึงสิ้นปี ความเสียหายทางเศรษฐกิจจะสูงกว่า 1.5 ล้านล้านบาท อย่างแน่นอน
1.2) ฉีดให้เร็ว : ตั้งเป้าเวลาฉีดวัคซีน ให้จบภายในปี64 คือ 7 เดือน นับจากมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ตั้งเป้า
1 เดือนต้องฉีดให้ได้15ล.โดส
1 วันต้องฉีดให้ได้ 5 แสนโดส
โดยมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นผู้รับผิดชอบหลัก ทำงานร่วมกับมหาดไทย และท้องถิ่น ซึ่งดิฉันเชื่อมั่นในศักยภาพของทั้ง 3 หน่วยงาน ว่าจะช่วยกระจายการฉีดวัคซีน ได้ทันเวลา 7 เดือนอย่างแน่นอนค่ะ
- เร่งปรับปรุงประสิทธิภาพการตรวจและรักษา เพื่อให้สามารถดูแลประชาชนได้ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากว่าปัจจุบัน เช่นรพ.สนาม ที่ส่วนใหญ่สภาพไม่เหมาะสมต่อการพักรักษา รัฐควรเช่าโรงแรมที่มีห้องเหลืออยู่ทุกจังหวัดแทน
รวมทั้งรัฐต้องกระจายงบประมาณและอำนาจให้ทุกรพ. แทนการรวมไว้ที่ส่วนกลาง
ที่สำคัญต้องเร่งจ่าย’เบี้ยงเสี่ยงภัย’ ให้แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพราะบุคคลเหล่านี้ คือผู้เสียสละ งานล้นมือ ไม่มีเวลาหยุด และยังต้องเสี่ยงต่อการติดโรคสูง “เตียงเพิ่มได้ แต่แพทย์ พยาบาลเพิ่มไม่ได้” จึงควรดูแลและให้กำลังใจ
3) เร่งออกมาตรการเยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ
3.1) ระยะเร่งด่วน คือการเยียวยาคนตกงาน ทั้งพ่อค้า-แม่ขายรายย่อย อาชีพอิสระ เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน คนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน
3.2) เร่งช่วยผู้ประกอบการ SMEs ไม่ให้เจ๊ง
SMEs มีทั้งหมดกว่า 3 ล้านราย จ้างงานถึง 13 ล้านคน จึงต้องช่วยพยุงไม่ให้ SMEs ปิดตัว หรือเลิกจ้างพนักงาน โดยช่วยจ่ายค่าจ้างบางส่วนเพื่อ’รักษาตำแหน่งงานไว้’ ไม่ให้คนตกงาน และSMEs อยู่รอด
3.3) รัฐบาลต้องวาง “ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย หลังCOVID” โดยสนับสนุนงบประมาณ รวมทั้งแก้กฎระเบียบ เพื่อส่งเสริมให้เกิดธุรกิจดาวรุ่งหลัง COVID ให้ได้ อย่างเช่น
- ศูนย์กลางอาหารปลอดภัยของโลก
2.ศูนย์กลางการท่องเที่ยว และบริการด้านสุขภาพ - ทำให้ไทยกลายเป็นออฟฟิศของคนเก่ง และเศรษฐีทั่วโลก ที่จะมา WORK FROM THAILAND เช่นพวก DIGITAL NOMADS
เนื้อที่หมดค่ะ ไว้ดิฉันจะมาขอเล่าแนวคิดและนโยบายในการ “พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส” ของเศรษฐกิจไทย หลังCOVID ต่อไปในตอนหน้านะคะ
ทั้งหมดที่เสนอด้วยความปรารถนาดี หวังให้รัฐบาลแก้ปัญหาของประชาชนได้สำเร็จ หวังว่าผู้นำจะช่วยรับฟัง และนำไปดำเนินการบ้างนะคะ