“จุรินทร์” จวกเละงบฯ68 “ทั้งขี้หกทั้งขี้เหร่” ซุกเงินกู้ เพิ่มหนี้มาทำเงินดิจิทัล เย้ยช้าเป็นเรือเกลือ พ่วงตั้งฉายารัฐบาล “นักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ” เย้ยบริหารแค่ 2 ปี กู้เพิ่มหนี้เกือบ 2 ล้านล้านบาท ถ้าอยู่ครบ 4 ปีคงกู้หนี้เต็มเพดาน งัดหลักฐาน“แผนการคลังระยะปานกลางของรัฐบาล” โชว์กลางสภาฯสร้างหนี้ปี 70 เพิ่ม 67.57% ขู่งบฯปี68 ผ่านวาระ 3 เรื่องอาจจบที่ศาลรธน.
วันที่ 19 มิ.ย.2567 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ โดยมีนายมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ ทำหน้าที่ประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เป็นจำนวน 272,700 ล้านบาท วาระแรก ต่อมาเวลา 11.37น. นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวอภิปรายงบฯปี68 ว่า ขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบงบฯปี 68แทนประชาชนเพื่อให้งบประมาณแผ่นดินเกิดความคุ้มค่า โปร่งใส มีประสิทธิภาพเป็นไปตามกฎหมาย สะท้อนความเป็นห่วงต่อการเมือง เศรษฐกิจ และการไม่รักษาวินัยการเงินการคลังของรัฐบาล ปี67 ตนตั้งฉายาว่าเป็นงบฯเป็ดง่อย เพราะจัดงบฯลงทุนแค่ 51% ทำให้โตต่ำกว่าเป้ามาก รัฐบาลตั้งเป้าจีดีพีโตที่ 5.4% แต่เอาเข้าจริง คนในรัฐบาลก็ยอมรับว่า จีดีพีโตแค่ 2.5% เมื่อรวมกับการทำโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ 0.25% รวมแล้วเศรษฐกิจโตแค่ 2.75% สำหรับงบฯปี 68 ที่รัฐบาลทำเอง ภาพรวมเป็นงบฯ ขี้หกขี้เหร่ ที่ซุกซ่อนไว้มากมาย เหมือนเห็นสภาเป็นศาลาโกหก เพราะนายกฯไม่ทำตามคำพูด ตนขอยกมาแค่5 ข้อคือ ขี้เหร่แรก เรื่องรายได้ เมื่อรายได้น้อย รายจ่ายสูง เมื่อขาดดุลก็ต้องไปกู้มา ประเทศเป็นหนี้สินเพิ่มมาก บางชาติในโลกล้มละลายไปต่อไม่ได้ รายได้สุทธิของปีนี้เหลือ 76.9% ของวงเงินงบประมาณ ลดลงจากปีก่อน การเก็บรายได้ก็ยังต่ำกว่าเป้า 3.9 หมื่นล้านบาท ขี้เหร่ที่ 2 คือ การขาดดุลงบประมาณ นายกฯให้สัญญาว่าจะจัดงบฯปี68 ให้ขาดดุลลดลงนอกจากไม่ลดการขาดดุลจากปีที่แล้ว แต่ยังกลับเพิ่มการขาดดุลมหาศาล คือ 24.9% หรือ 865,700 ล้านบาท หรือ1 ใน 4 ของวงเงินงบประมาณ อาจจะอ้างว่าเอาไปทำดิจิทัลวอลเล็ต และยังขาดดุลเพิ่มกว่าปี 67 ราว 20,000 ล้านบาท ที่ขี้เหร่ที่สุด คือเป็นงบฯขาดดุลมากที่สุดในประวัติศาสตร์คือ 4.42%ของจีดีพีของประเทศ เกือบชนวินัยการเงินการคลัง ขาดอีกเพียง 40 ล้านบาทจะชนเพดานหัวแตกที่ขี้เหร่ของความขี้เหร่ ภายใต้รัฐบาลนี้ ถ้าครบวาระ 4 ปี ยังคิดจัดงบประมาณขาดดุลต่อไปจนครบวาระอายุรัฐบาล จะส่งผลให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นตลอด4 ปี ดูจากแผนการคลังระยะปานกลางปี2568-2571 ที่ ครม.เพิ่งอนุมัติไปเมื่อ 2 เม.ย.67 ที่ระบุชัดว่าหนี้สาธารณะจะวิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตลอดอายุรัฐบาล ปี68 ที่ 66.93% ปี 69 ที่ 67.53% และปี2570 จะเพิ่มเป็น 67.57% ของจีดีพี นี่คือภาระที่จะเกิดกับประเทศ
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ขี้เหร่ที่ 3 เงินกู้ ที่รัฐบาลนี้กู้ มีใช้2 ปีงบประมาณคือปี 67 และ 68 รัฐบาลกู้มาชดเชยการขาดดุล 1.5 ล้านล้านบาท รวมกับการกู้มาแจกดิจิทัลวอลเล็ตด้วย กู้ที่ 1.9ล้านล้านบาท รวมบริหารประเทศ2 ปี รัฐบาลนี้กู้มาใช้เกือบ 2 ล้านล้านบาท ปีที่แล้วเป็นนักกู้ถุงเท้าสีชมพู ปี68 ให้เป็นนักกู้ผ้าขาวม้าพันคอ ยังกู้หนักเช่นเดิม แต่เวลาใช้หนี้ตั้งงบฯใช้หนี้ปี68 เพียง 151,000 ล้านบาทจากที่กู้มาใช้เกือบ 2 ล้านล้านบาทไม่ถึง 10% ของหนี้ที่ก่อ จะเป็นภาระของรัฐบาลต่อไป หลังพ้นจากรัฐบาลนี้ และขี้เหร่ที่ 4 การตั้งตัวเลขจีดีพีสูงเกินจริง งบประมาณปี 2568 ที่ตั้งไว้ 4.9% เอาฐานเกินจริงมาคำนวณ มันจะกลายเป็น จีดีพีฟองสบู่ เพื่อให้เจือสมกับที่นายกฯบอกจะทำ จีดีพีโตปีละ 5% แต่ทุกสำนักแม้แต่สภาพัฒน์ฯระบุว่าเศรษฐกิจไทยปี 68 จะโตแค่ 3 % ส่วนขี้เหร่ที่ 5 ดิจิทัลวอลเล็ต จากนโยบายเรือธงกลายเป็นนโยบายเรือเกลือ ที่สัญญาว่าจะทำทันที เมื่อสัญญาแล้วต้องรับผิดชอบ ล่าสุดรัฐบาลแถลงดิจิทัลฯ 3 ข้อคือ 1. แจกแน่ในไตรมาส4 ปี 67 คือ1 ต.ค.นี้ 2. เวลาแจก จะแจกทีเดียว 500,000 ล้านบาท 3. เงิน500,000 ล้านจะเอามาจาก 3 แหล่งคือ จากงบฯปี 68 ยอด 152,700 ล้านบาท , จากงบฯปี 67 อีก 175,000 ล้านบาทและจะไปกู้ หรือยืมจาก ธกส. อีก 172,300 ล้าน แต่จนวันนี้รัฐบาลยังไม่มีงบฯในส่วนนี้สักบาทใช่หรือไม่ เพราะงบฯปี 68ยังต้องรอให้ผ่านสภา งบฯปี 67 ยังไม่ขอมา เพราะจะต้องมีการออกเป็น พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ส่วน ธกส. ก็ยังไม่ได้ยืมสักบาท ส่วนที่บอกว่าจะเอาจากงบ 67 จำนวน 175,000 บาทนั้น ปรากฏว่า พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่าย ปี 67 เพิ่มเติม ที่จะเข้าสภาเดือนหน้า ได้ขอเงินมาแค่ 122,000 ล้านบาท แปลว่า ยังขาดอีก 53,000 ล้านบาท
“ มีคนนินทาว่า สุดท้ายคงจะไปเอามาจากงบฉุกเฉิน ปี 67 ที่ตั้งไว้ 99,500 ล้านบาท และพบพิรุธ คือเบิกจ่ายงบฉุกเฉินปีนี้ต่ำมากๆ เบิกไปจริงมีคนบอกว่าเพียงแค่หลักพันล้าน แสดงว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ ตั้งใจว่ายอมไม่ใช้งบ ปี 67 ให้เหลือเงินฉุกเฉินเยอะๆ แล้วจะได้เอาไปแปลงเป็นดิจิทัล วอลเล็ต เพื่อกู้มาแจก บรรลุเป้าหมายพรรคการเมืองได้ แต่ถ้าทำแบบนี้จริง รัฐบาลนี้ใจดำมาก เพราะพยายามไม่ใช้เงินปี 67 มันจะส่งผลให้ จีดีพี 67 มันโตต่ำเตี้ยหนักเข้าไปอีก เพื่อให้เหลือเงินไปสนองพรรคการเมือง ยังได้ตั้งคำถามถึงเงินจำนวน 53,000 ล้านบาทต่อไปว่า หากเอามาได้จริงจะทำอย่างไร จะต้องออกเป็นกฎหมาย 4 ฉบับ คือ งบ 67 ,งบ 68 ,งบเพิ่มเติม 67 และงบเปลี่ยนแปลงงบประมาณ 67 และยังไม่รวม ธกส. จึงเป็นเรือเกลือ จนถึงวันนี้รัฐบาลยังไม่ได้ถามคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า เงินที่จะยืม ธ.ก.ส. ใช้ได้หรือไม่ เหมือนตั้งใจจะมาลักไก่ ถ้าสภาอนุมัติแล้วกฤษฎีกาบอกทำไม่ได้ ก็จะเป็นหมัน และมองว่าดิจิทัลวอลเล็ต อนาคตยังเหมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายงบ 68 มันเหมือนงบเป็ดขี้เหร่ เพราะทั้งหลอกสภา ทั้งทำสัดส่วนรายได้สุทธิน้อยกว่าเดิม ทั้งทำงบขาดดุลมากสุดในประวัติศาสตร์ ทั้งจะกู้มากขึ้นตลอดอายุรัฐบาล ทั้งวาดฝัน จีดีพีฟองสบู่ ทั้งลักไก่งบกู้มาแจก ขอเงินเป็นแสนล้านทั้งที่ยังไม่ถามกฤษฎีกาสักคำว่าทำได้หรือไม่ ที่สำคัญก็คือว่า รัฐบาล 2 ปี และกำลังขอ 3.75 ล้านล้าน รวมแล้ว 6-7 ล้านล้าน ผลงานมันไม่ประทับใจจอร์จเลย ผลสัมฤทธิ์ของงานที่ปรากฏออกมา มันสวนทางกับตัวเลขงบประมาณที่ขอไป ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม”นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้การที่จะเอาเงิน ธกส. 172,300 ล้านบาท นักเศรษฐศาสตร์ นักกฎหมายต่างยืนยันว่านำมาแจกไม่ได้เพราะหมิ่นเหม่ผิดกฎหมาย จะเอาไปให้รัฐบาลกู้มาแจกแบบเฮลิคอปเตอร์เหวี่ยงมันนี่ ไม่ได้ วันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าสุดท้ายแล้วทำได้หรือไม่ เพราะรัฐบาลยังไม่ได้ถามกฤษฎีกาว่า เงินที่จะไปเอาจาก ธกส. มาใช้นั้นผิดกฎหมายหรือไม่ ส่วนผลสัมฤทธิ์จากการใช้งบประมาณ ผลงานไม่ประทับใจจอร์จ เพราะมันสวนทางกับตัวเลขงบประมาณที่ขอไป ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เมื่อดูจากผลนิด้าโพล ที่สะท้อนว่า ประชาชนพอใจรัฐบาล 32% แต่ไม่พอใจถึง 66% และเมื่อไปดูรายละเอียดโพลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ก็จะพบว่า สิ่งที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลเร่งแก้ไข 3 ลำดับแรก คือ 1. แก้ไขปัญหาเรื่องค่าครองชีพ 2. แก้ไขปัญหาเรื่องค่าไฟฟ้า 3. แก้ไขปัญหาเรื่องราคาน้ำมัน นี่คือโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเร่งทุ่มเทสรรพกำลังลงไปปลดทุกข์ให้กับประชาชนเท่านั้น
”นายกฯ เคยพูดในสภาตอนพิจารณางบประมาณ ปี 67 บอกจะทำให้คนไทยรวยขึ้น 3 เท่าใน 4 ปีนั้น การจะทำได้หรือไม่นั้น อยู่ที่ 3 ปัจจัยหลัก 1. รายได้ 2. รายจ่าย 3. ภาระหนี้สินของประชาชน แต่เมื่อไปดูในวาระแห่งชาติของรัฐบาลกลับไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างที่ตั้งใจ เช่น หนี้นอกระบบ ตนอยากเห็นรัฐบาลทำและทำต่อไปได้ผลด้วย เพราะหนี้นอกระบบที่มีประมาณ 50,000 ล้านบาท จนถึงวันที่ 29 กุมภา 67 สามารถลดหนี้ได้เพียง 1,203 ล้านบาท คิดเป็น 2.4% ของมูลหนี้ แปลว่าถ้ามีหนี้ 100 บาท ก็ลดหนี้ไป 2.40 บาท ยังเหลือหนี้อีก 97.60 บาท แล้วจะทำให้คนไทยรวยขึ้น 3 เท่าใน 4 ปี ได้อย่างไร ที่ผ่านมาผลสัมฤทธิ์ยังต่ำ เหมือนขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่“ นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า นอกจากเพิ่มรายได้ ลดรายจ่าย ลดหนี้ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน รัฐบาลชุดนี้ยังซ้ำเติมประชาชน และ ในสิ่งที่เป็นนโยบายบาป ซ้ำเติมด้วยทั้งหวย ทั้งบ่อน ขณะที่ผลสัมฤทธิ์รัฐบาลยังต่ำ แต่รัฐบาลกลับซ้ำเติมประชาชน ให้ห่างรวย 3เท่าใน 4ปี วันนี้มีทั้งหวยมีลอตเตอรี่ หวยเกษียณ หวย 3 ตัว มีชาวบ้านฝากไปบอกรัฐบาลด้วยว่า เขาจะตั้งฉายารัฐบาลนี้ว่า “รัฐบาล 3 หวย” ในส่วนของหวยเกษียณนั้น ตนสนับสนุน เพราะหวยเกษียณเป็นการเพิ่มการออมให้กับประชาชนและเป็นการต่อยอดกองทุนการออมแห่งชาติ ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้เริ่มต้นไว้ ลงทุนซื้อหวยไปเท่าไหร่เงินไม่หาย เกษียณเบิกกลับมาใช้ได้ แถม ระหว่างทางลุ้นรางวัลได้อีก อันนี้ถูกทิศทาง แต่ที่น่าเป็นห่วงคือหวย 3 ตัว หวยบนดินตัวใหม่ ที่น่าจะซ้ำเติมประชาชน เพราะทำเข้าจริงๆ มีคนถูกหวยไม่กี่ แต่คนที่ไม่ถูกหวยจนลงหมด รัฐบาลจึงควรกลับไปทบทวน หาทางเพิ่มรายได้ ลดรายจ่ายประชาชนด้านอื่น
นายจุรินทร์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องทางการเมืองมีคนไปถามนายกฯ เรื่องหุ้นตก ตลาดหลักทรัพย์ดิ่งเหว สื่อถามว่า วันนี้ตลาดหลักทรัพย์ร่วงไป 227 จุด ต่างชาติเทขาย 1.5 แสนล้านบาท ทำความมั่งคั่งตลาดหลักทรัพย์หายไป 2.6 ล้านล้านบาท นายกฯบอกว่าเป็นเพราะการเมืองในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แต่ความจริงคือตกร่วงมาแต่รัฐบาลนี้เข้ามาบริหารบ้านเมือง ตนขอถามว่า ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นปัจจุบันใครเป็นคนทำ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลนี้ สร้างปัญหาขึ้น คือ 1.ปรับคณะรัฐมนตรี ใครเป็นคนปรับ ถ้าไม่ใช่นายกฯ ครม. เกี่ยวอะไรกับงบประมาณปี68 เพราะการปรับคณะรัฐมนตรีคือการเปลี่ยนคนใช้งบงบประมาณ ทั้งการเปลี่ยนคนใช้งบ ปี 67 และงบ68ที่สภากำลังพิจารณา ปรับเสร็จเปลี่ยนแค่ปรับแบบต่างตอบแทนหนึ่ง มาเป็นต่างตอบแทนสองเท่านั้น สุดท้ายจึงติดลบมากกว่าติดบวก ปรับครม. มีรัฐมนตรีออกปั๊บ3คน แล้วนำไปสู่คดีขึ้นศาลรัฐธรรมนูญ โทษ 40 ส.ว. ไม่ได้เพราะท่านก็ทำหน้าที่ของท่าน และส.ว. ก็ยังไม่หมดวาระ ก็ต้องปฏิบัติหน้าที่ไปจนกว่าจะมี ส.ว.ชุดใหม่ ทั้งหมดจึงเกิดขึ้นจากรัฐบาล และทำให้สถานภาพเสถียรภาพ ครม.วันนี้เหมือนกับรัฐมนตรีอีก 30 กว่าคนถูกเอาผ้าขาวมาแขวนคอห้อยต่องแต่งบนเพดาน ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะรอดหรือจะร่วง นี่คือการเมืองที่เกิดจากรัฐบาลและกระทบไปถึงเศรษฐกิจ
สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องที่2 เรื่องนายก 2 คน ยังเป็นเรื่องคุกคามตามหลอน ด้อยค่านายกรัฐมนตรีอยู่จนถึงวันนี้ และรามไปจนถึงการเมืองระหว่างประเทศ ที่กระทบมหาศาลกับประเทศ นายกฯเองก็ไม่กล้าทำอะไร รัฐนาวาไทยวันนี้ ถ้าเป็นรถยนต์ก็เป็นเหมือนกับรถยนต์แบบหนึ่งพวงมาลัยสองคนคนขับ ที่น่าหวาดเสียวที่สุด คือแม้จะนั่งเก้าอี้คนละตัวแต่ปรากฏว่าจับพวงมาลัยพวงมาลัยอันเดียวกันพร้อมกันสองคน จึงน่าหวาดเสียวสำหรับ คนไทยและประเทศไทยอย่างยิ่ง 3.เรื่องพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ไม่ใช่เรื่องเก่าแต่เป็นเรื่องปัจจุบันและจะเป็นเรื่องอนาคต ต้องใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน จึงจะทำได้ ทั้งงบสภา และงบรัฐบาล ที่สำคัญจะมีผลกระทบมากมายต่อการเมือง เศรษฐกิจ สังคมไทย ในอนาคต เพราะว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะเป็นสารตั้งต้นสำคัญที่จะพาประเทศไปสู่ความปรองดอง หรือ ไปสู่ความแตกแยกครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง
“ผมจึงขอถือโอกาสนี้ถามไปถึงนายกฯหรือรัฐบาลท่านอื่นจะช่วยตอบก็ยินดี ในฐานะที่รัฐบาลคุมเสียงข้างมากในสภา 1. รัฐบาลมีนโยบายจะเสนอหรือสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมหรือไม่ ขอให้ช่วยตอบด้วย เพราะไม่ใช่ความลับ แต่เป็นเรื่องที่ต้องเปิดเผยกับประชาชน 2.รัฐบาลจะสนับสนุนการนิรโทษกรรม ที่รวมคดีทุจริตความผิดตามมาตรา 157 ฐานละเว้นหรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ 3. จะรวมคดีมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ ที่ต้องถามเพราะมาถึงวันนี้ บางคนในรัฐบาล เสียงเริ่มแปร่ง และที่ต้องถาม เพราะรู้สึกเป็นห่วงว่าพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถ้ามี จะเปลี่ยนจากนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดอง ถูกเปลี่ยน พันธุกรรมเป็นนิรโทษกรรมอำพรางหรือไม่ เพราะอดีตเคยสอนเรามาแล้ว จากนิรโทษกรรมครึ่งเข่งกลายเป็นนิรโทษกรรมยกเข่ง และสุดท้ายบ้านเมืองเสียหายยับเยิน ถ้านายกฯหรือรัฐบาลตอบได้ กรุณาช่วยตอบด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง สุดท้ายผมเชื่อว่าวันที่ 21 มิ.ย. ตอนลงมติงบประมาณ วาระ1 ปี 68 ผ่านสภา เพียงแต่วาระ 3 อาจจะต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ” นายจุรินทร์ กล่าว”นายจุรินทร์ กล่าว