วันศุกร์, มิถุนายน 28, 2024
หน้าแรกNEWSถกงบวันสุดท้ายกร่อย!“ฝ่ายค้าน”รุมติงจัดงบฯละลายน้ำ ดันนโยบายเรือธงไม่สนงบอื่น
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ถกงบวันสุดท้ายกร่อย!“ฝ่ายค้าน”รุมติงจัดงบฯละลายน้ำ ดันนโยบายเรือธงไม่สนงบอื่น

ถกงบวันสุดท้ายกร่อย! “ฝ่ายค้าน” รุมติงจัดงบฯละลายน้ำ ดันนโยบายเรือธง ไม่สนงบ กท.อื่น “ภคมน” เย้ยเรตติ้ง NBT ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ชี้ เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ “ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม” แก้ต่างให้ “เพื่อไทย” ขณะที่ปชป. หยัน “กัปตันเศรษฐา” จะพาคนไทยไปไม่ถึงฝั่ง อุดรูรั่วปัญหาประเทศได้หรือไม่

วันที่ 21 มิ.ย.67 เวลา 09.00 น.ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการประชุมสภาฯสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 วงเงิน 3.75 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 เป็นจำนวน 272,700 ล้านบาท วาระแรก วันสุดท้าย บรรยากาศการประชุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย การอภิปรายเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่มีการประท้วงอะไร ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงช่วงเย็น ส่วนใหญ่ก็จะอภิปรายถึงการจัดงบประมาณเกี่ยวกับด้านการศึกษา สส.ฝ่ายค้าน และสส.รัฐบาล ต่างก็สลับกันลุกขึ้นอภิปราย

ขณะที่พรรคก้าวไกล ต่างก็ตำหนิการจัดสรรงบไม่ตรงปก ไม่ตอบโจทย์ อาทิ น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า งบประชาสัมพันธ์ส่วนนี้ถูก ignore มานานแล้ว เท่าที่ตนสามารถรวมได้ จากทุกกระทรวง ทุกกรม รวมกัน 2,945 ล้านบาท น้อยกว่าปีก่อนที่มีงบประมาณส่วนนี้ 3,200 ล้านบาท โดยแยก เป็น 2 รูปแบบ แบบแรก เป็นงบประชาสัมพันธ์ทางตรง ระบุชัดในชื่อโครงการเลยว่านำไปใช้ในภารกิจประชาสัมพันธ์ แบบที่2 เป็นงบประมาณที่ไม่ได้ระบุชัดเจน แต่ซ่อนมาในคีย์เวิดสำคัญ เช่น รณรงค์ เสริมสร้างความเข้าใจ ปลูกจิตสำนึก ปลูกฝัง หรือบางโครงการ ชื่อก็เดาไม่ออกว่าเป็นการประชาสัมพันธ์ งบประมาณโฆษณาซ้ำซ้อนกัน เป็นเงินอย่างน้อยคือ 662 ล้านบาท ยกตัวอย่าง โครงการสื่อสารเพื่อรณรงค์ต่อต้านยาเสพติด หน่วยงานที่ทำ โครงการนี้ มหาดไทยทำ ใช้งบ 38 ล้าน กระทรวงศึกษาทำใช้งบ 23 ล้านบาท กระทรวงยุติธรรม ใช้งบประมาณ 5 ล้าน และกระทรวงสาธารณสุขก็ใช้งบ 100 ล้าน ซึ่งชื่อโครงการต่างกัน แต่วัตถุประสงค์เหมือนกัน

“ถ้ามีการคุยกันสักนิด ว่าภารกิจไหนใครทำ อย่างน้อยเราไม่ต้องจ่ายงบประมาณจำนวน 662 กว่าล้าน กับงานที่เหมือนๆกันแบบนี้ หากจำได้เมื่อต้นปีเคยมีคลิป จากอินฟลูฯท่านหนึ่งนำเสนอเรื่องราวของทหารชายแดน จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์จากสังคมว่านี่ เป็นการโฆษณาจากกลาโหมหรือไม่ ซึ่งเงินก้อนนี้แหละค่ะ ที่เขียนไว้หลวมๆแบบนี้ จับตากันนะคะ ผลผลิตของมันเราจะได้เห็นการโฆษณาลักษณะนั้นอีกหรือไม่ ดิฉันขอตั้งคำถามว่าโครงการประชาสัมพันธ์ในลักษณะนี้ เป็นโครงการที่มีประโยชน์กับประชาชนโดยตรงจริง ๆ ใช่หรือไม่ หรือเป็นประโยชน์กับใคร” น.ส.ภคมน กล่าว

น.ส.ภคมน กล่าวถึงศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ ว่าในงบประมาณ 67 ได้รับไป 69 ล้านบาท ปีนี้ได้รับงบประมาณมาจำนวน 68 ล้านบาท จากผลงานที่ผ่านมา เมื่อมีการตรวจสอบข่าวเกี่ยวกับรัฐบาล ศูนย์ต่อต้านเฟคนิวส์ก็บอกว่าตรวจสอบแล้วเป็นข่าวจริงแต่ไม่เผยแพร่ เพราะไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล มีปรากฏการณ์ใหม่ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม แก้ต่างให้พรรคการเมืองที่ถูกโจมตี ข่าวนั้นคือ พรรคเพื่อไทยนำ ปตท. เข้าแปรรูป ขายหุ้นหมดภายใน 3 นาที ซึ่งทางศูนย์ฯ ตรวจสอบแล้วพบว่าเป็นข้อมูลเท็จ หลักการสำคัญข้อหนึ่ง ที่ศูนย์เคยประกาศไว้เอง คือ ความเป็นกลาง ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นอิสระ มุ่งเน้นประโยชน์ ต่อประชาชน ขนาดรัฐบาลที่แล้ว ยังไม่เคยใช้ AFNC แก้ต่างให้พรรคของรัฐมนตรี DES เลย แม้แต่ครั้งเดียวเลย

น.ส.ภคมน กล่าวว่า อีกหน่วยงานสำคัญคือ กรมประชาสัมพันธ์ ที่อยู่ในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีการของบประมาณทั้งหมด 2,496 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อน 82 ล้านบาท เป็นงบบุคลากรไปแล้ว 38 % และยังมีงบลงทุน 540 ล้านบาท ซึ่งกรมประชาสัมพันธ์น่าจะเป็นเป็นสถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เมื่อเทียบงบประมาณแต่ละปีกับผลงาน ชัดเจนว่าสื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์เล็ก ๆ เขาทำได้ดีกว่า นอกจากนี้งบที่สำคัญของกรมประชาสัมพันธ์ในการ PR ภาครัฐ แต่พูดตามตรง ต่อให้กรมประชาสัมพันธ์ได้งบประมาณก้อนนี้มากกว่าเดิม 10 เท่า หรือ 100 เท่า ก็ไม่สามารถสร้างภาพลักษณ์เชิงกรุกในเวทีต่างชาติ ให้เขามีความเชื่อมั่นมากขึ้นได้ การบุกเปิดยอดบัญชี ยอดเพจ จำนวนเยอะ ๆ ทำไปเพื่ออะไร ยุทธศาสตร์การเปิดเป็นร้อย ๆ เพจนี้จะทำให้เข้าถึงประชาชนได้มากขึ้นจริงหรือไม่ หรือเราควรมียุทธศาสตร์อื่นที่ดีกว่านี้ การเปิดเพจจำนวนมาก ๆ นั้น ไม่ได้ทำให้คนสนใจมากขึ้น มีแต่จะใช้งบประมาณมากขึ้นอย่างไม่สมเหตุสมผล

น.ส.ภคมน กล่าวว่า ตนไม่ได้นั่งเทียนวิจารณ์ด้วย ถ้าไม่เชื่อก็ลองเปิดดูเรตติ้งทีวีดิจิทัลที่เขาวัดจากทั้งคนที่ดูผ่านทีวีและอินเตอร์เน็ต ช่อง NBT ของกรมประชาสัมพันธ์อยู่ในอันดับ 19 รองบ๊วยจากทั้งหมด 20 ช่อง ก็คงจะเป็นหนึ่งตัวชี้วัดที่ทำให้เห็นว่ายังทำงานไม่เข้าเป้า และเพจ NBT connext มีการลงข่าวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก่อนตั้งคำถามว่าเกี่ยวข้องกับภารกิจรัฐตรงไหน พอมีคนเริ่มวิจารณ์ NBT connext ลงข่าวให้พรรคก้าวไกล ตนก็จะถามคำถามเดิม มันเป็นภารกิจของรัฐตรงไหน มีโครงการหนึ่ง จ้างเหมาบริการผลิตข้อมูลข่าวสาร 39 ล้านบาท โดยใช้บุคลากร พิธีกรผู้ดำเนินรายการจำนวนหนึ่งจากบริษัทที่ปิดตัวลง ย้ายมาทำให้ NBT จนประชาชนตั้งข้อสังเกตถึงความเหมาะสม แต่ตอนนี้ที่กรมประชาสัมพันธ์ประสบปัญหาก็คือ พยามจะใช้บทบาทตัวเองเพื่อเป็นปากเป็นเสียงทางการเมืองให้รัฐบาล มากกว่าการมุ่งเน้นงานสื่อสารเพื่อประชาชน และช่องทางแต่ละช่องทางที่ท่านหมายมั่นปั้นมือ ล้วนไม่มีคนดู เรตติ้งต่ำเตี้ยเรี่ยดิน สู้สื่ออื่นไม่ได้เลย

“ดิฉันคาดหวังว่ารัฐบาล และรัฐมนตรีที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ จะแก้ไข ปรับปรุง ให้งบโฆษณาประชาสัมพันธ์ของภาครัฐโปร่งใส เลิกซุก เลิกซ่อน เลิกซ้อนเสียที และด้วยความปรารถนาดี การสื่อสารคือปลายทาง แต่ต้นทางที่จะทำให้การสื่อสารของรัฐบาลได้ผล คือ ฝีมือการบริหาราชการแผ่นดิน ความสง่างามทางการเมือง”น.ส.ภคมน กล่าว

ขณะที่นายร่มธรรม ขำนุรักษ์ สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายเป็นคนสุดท้ายของพรรคประชาธิปัตย์ว่า สิ่งที่เห็นวันนี้ทำให้เราต้องผิดหวังอีกครั้ง เพราะงบฯปี68 เป็นงบฯตั้งหน้าตั้งตากู้เงินมาแจก สร้างหนี้ให้ประเทศ แต่กลับเมินเฉยต่อความเดือดร้อนประชาชน รัฐบาลจัดทำงบฯแบบดันทุรัง งบฯปีนี้ 3.75ล้านล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว7.8เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ประมาณการรายได้จากรัฐบาลอยู่ที่2.88ล้านล้านบาท ส่งผลให้เราจะต้องกู้เพื่อมาชดเชยการขาดดุลถึง 8.65 แสนล้านบาท ถือเป็นการตั้งงบฯที่ขาดดุลหรือเกินจากรายได้ไปสูงเกือบชนเพดาน นอกจากนี้หนี้สาธารณะยังเพิ่มขึ้นถึง11ล้านล้านบาท คิดเป็น65เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องไปถึง70เปอร์เซ็นต์ ส่วนงบฯรายจ่ายประจำอยู่ที่2.7ล้านล้านบาท จะเห็นว่าใกล้เคียงกับรายได้รัฐบาลที่2.88ล้านล้านบาท นั่นทำให้รัฐบาลต้องตั้งงบฯขาดดุล หรือต้องกู้อย่างต่อเนื่อง

นายร่มธรรม กล่าวต่อว่า ขณะที่งบฯกลาง จำนวน5.49แสนล้านบาท ที่บางพรรคที่เคยเป็นฝ่ายค้านเคยชิงชังว่าตรวจสอบยาก ส่อเกิดทุจริต และควรเป็นงบฯที่ใช้กรณีฉุกเฉินเท่านั้น แต่วันนี้รัฐบาลกลับใช้งบฯกลางเป็นเครื่องมือหลักในการขับเคลื่อนเรื่องของตัวเอง โดยเฉพาะงบฯค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข้มแข็งของระบบเศรษฐกิจ จำนวน 1.52 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่มีปัญหามาตั้งแต่เริ่ม ทำให้งบฯขาดดุลพุ่งไปไกลมากกว่า5แสนล้านบาท ตนไม่อยากเชื่อว่านี่คือฝีมือของนักบริหารธุรกิจ ที่บอกว่าจะสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจ แต่เท่าที่ดูคือการก่อมรสุมเงินกู้ที่จะโปรยหนี้ให้ท่วมกันถ้วนหน้า เพราะประชาชนต้องแบกรับภาระหนี้ทั้งต้นและดอก จากนโยบายเรือธง กลายเป็นนโยบายเรือเกลือ และเรือล่มในที่สุด

“เราเห็นเพียงแต่ความพยายามที่จะทำแต่ดิจิทัลวอลเล็ตให้เกิดขึ้นได้ โดยไม่สนใจคำท้วงติงต่างๆ เมื่อดูจากการจัดสรรงบฯ ผมคิดว่าเรือลำนี้ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นกัปตันน่าจะพาเราไปไม่ถึงฝั่ง เพราะไม่สามารถอุดรูรั่วปัญหาของประเทศได้ และกัปตันเรือเองน่าจะเอาตัวไม่ค่อยรอด ดังนั้นเราจะจดจำและจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทยว่างบประมาณปี68คืองบฯแห่งการกู้ รัฐบาลนี้คือรัฐบาลแห่งการก่อหนี้ รัฐบาลเสดสา ทวีหนี้สิน” นายร่มธรรม กล่าว

ด้านนายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส. พรรคก้าวไกล อภิปรายเสียงดังว่า เทคโนโลยีดิจิทัลคือสิ่งที่เปลี่ยนโลกในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และจะเปลี่ยนโลกเร็วยิ่งกว่าเดิม ในเวลาอันใกล้นี้ และนับจากวันนี้อีก5-10 ปีการก้าวตามไม่ทันโลกและไขว่คว้าโอกาสที่ปล่อยให้หลุดลอยไปหลายครั้งเป็นเดิมพันที่สูงมากสำหรับประเทศไทย เพราะหากล้มเหลวจะทำให้ถูกนำหน้าไปโดยไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น และงบกระทรวงดิจิทัลเพิ่มขึ้นกว่า 5,000 ล้านบาท ก็ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ว่าประเทศไทยมุ่งมั่นจริงจังหรือการการันตีความสำเร็จพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ขาดการวางแผนและไม่มีความเข้าใจ ไม่มีการวางยุทธศาสตร์ให้ชัด คนสั่งไม่รู้เรื่อง คนไปต่อก็ทำไม่เป็น สุดท้ายโยนงบประมาณลงไป และหวังว่าจะประสบความสำเร็จแต่ไม่มีการถอดบทเรียนจากความผิดพลาดในอดีต และจะสร้างปัญหาเดิมให้เกิดในอนาคต ซึ่งการจัดงบด้านดิจิทัลจะต้องทำให้ประชาชนได้รับความปลอดภัย-ได้รับความสะดวก-และได้รับโอกาส

นายปกรณ์วุฒิ กล่าววา ขอเสนอแนะให้ตั้งตัวชี้วัดการใช้งบประมาณของศูนย์ AOC โดยใช้เวลารอสายของประชาชนเฉลี่ยลดลงและประสานงานเพื่อระงับบัญชีได้เร็วขึ้น ถ้าของบเพิ่มสภาก็ยินดีแต่ถ้าหากไม่ทราบว่าจะนำงบมาจากไหนให้ยุคศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม หากมี 2 หน่วยงานทำหน้าที่เตือนภัยผ่านเซลบอร์ดแคส อาจสร้างความสับสนต่อหน่วยงาน ภาคเอกชน หรือเกิดความซ้ำซ้อนกัน โดยเฉพาะปี 68 มีการตั้งงบโครงการนี้ 344 ล้านบาท โครงการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งเห็นว่าเป็นงบยัดไส้ด้วยตัวชี้วัดไม่เกี่ยวกับโครงการ หากสภาอนุมัติงบโครงการนี้จะกลายเป็นงบที่เปล่าประโยชน์และก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตตามมา จึงเสนอให้ตัดงบระบบเตือนภัยฉุกเฉิน

“จะเอาให้ได้จนเอามายัดไส้ไว้ในแผนงานที่ตัวชี้วัดไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับการเตือนภัยประชาชนเลยและระหว่างที่แย่งชิงงบนี้อยู่ ทราบข้อมูลมาว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะกำหนดมาตรฐานการแบ่งระดับเตือนภัยว่าแบ่งเป็นกี่ระดับ เตือนอะไรบ้าง ภัยแบบไหน ที่ระดับร้ายแรงที่สุด หรือภัยร้ายแรงรองลงมา เหลืออีก4 เดือน จะครบปีที่ได้ขอไว้ทำงานแบบนี้จะทันได้อย่างไร” นายปกรณ์วุฒิกล่าว

นายปกรณ์วุฒิเสนอแนะการใช้บริการคลาวด์เพื่อเก็บข้อมูลของภาครัฐ จะคุ้มค่ากว่าการใช้ดาต้าเซ็นเตอร์ และประหยัดงบประมาณ นโยบายรัฐบาล คลาวด์เฟิร์ส และเสนองบประมาณตั้งงบยุทธศาสตร์เชื่อมแอพพลิเคชั่นขอวรัฐ 700 ล้านบาท พร้อมกำหนดคุณสมบัติมาตรฐานพลับบิคคลาวด์ ยังเปิดเผยข้อมูลงบประมาณเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ปี 2567 และปี 2568 พบว่ารวมกันเกือบ 2,500 ล้านบาท โดยเสนอแนะให้กรรมาธิการไปตรวจสอบโครงการระบบให้บริการข้อมูลประชาชนผ่านระบบอัตโนมัติ Bora AI Chatbot วงเงิน 9,600,000 บาทของกรมการปกครอง จังหวัดปทุมธานี ว่าเป็น AI จริงหรือไม่หรือเป็นคีย์เวิดเแชทบอร์ด

”นี่คือการเตรียมพร้อมความเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีเทคโนโลยีคลื่นใหญ่ของโลก เอาเวลาออกอีเวนท์ถ่ายรูปเอาน่ามาทำงานบ้าง งบประมาณด้านดิจิทัลปี 2568 สะท้อนว่ารัฐบาลไม่ได้มีความเข้าใจไม่มีวิสัยทัศน์ที่จะนำพาประเทศไปสู่สังคมโลกยุคดิจิทัล ไม่ถอดบทเรียนจากอดีตเพิกเฉยละเลยกับอนาคตของประเทศ มีแค่บัส Word สวยหรูกับสั่งการลอยๆไม่มีความเข้าใจไม่มีความพร้อมมีแต่สารปัญหาต่อก่อปัญหาใหม่ประกาศนโยบายไปแต่ทำอะไรไม่เป็นถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่บอกได้เลยว่ารัฐบาลนี้จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังเพราะจะไม่มีใครที่ได้ก้าวไปข้างหน้าเลยแม้แต่คนเดียว“ นายปกรณ์วุฒิกล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img