“ดร.นพดล กรรณิกา” ประกาศลาออกจากบอร์ด “ก.ต.ช.” ผู้ทรงคุณวุฒิภาคประชาชน
ผศ.ดร.นพดล กรรณิกา กรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนภาคประชาชน เปิดเผยว่า ตนขอประกาศการลาออกจากตำแหน่งกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้แทนภาคประชาชน หลังจากที่ได้รับโอกาสให้รับใช้ประเทศชาติและประชาชนในบทบาทนี้มาอย่างเต็มความสามารถและจริงใจตลอดเวลา ที่ผ่านมาจนถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ตนมีความภูมิใจอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกับคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติทุกท่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจและภาคประชาชนร่วมกันพัฒนางานตำรวจเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติและรักษาความปลอดภัยของประชาชนภายในประเทศและหนุนเสริมความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากหน่วยงานใดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการให้ผมสนับสนุนภารกิจงานตำรวจอื่นใดที่เป็นความเชี่ยวชาญและตรงกับศักยภาพของตน ก็ยินดีทำงานให้ด้วยความมุ่งมั่น
“การตัดสินใจในครั้งนี้เกิดจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของการขับเคลื่อนภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและความจำเป็นในการมอบโอกาสให้กรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคประชาชนคนใหม่ที่จะสานต่อภารกิจในการพัฒนาและสนับสนุนการทำงานของตำรวจแห่งชาติในอนาคตให้มีความต่อเนื่องและเป็นไปในทิศทางที่สร้างสรรค์”ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล กล่าวต่อว่า ในช่วงเวลาที่ดำรงตำแหน่งกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้น้อมรับขับเคลื่อนนโยบายตำรวจของรัฐบาลภายใต้การนำของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ในช่วงรักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อย่างสุดความสามารถแห่งปัญญา ได้มีโอกาสลงพื้นที่ร่วมทำงานกับ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เข้าถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกระดับชั้นและภาคประชาชนในหลายโครงการสำคัญ เช่น การรณรงค์เสริมสร้างความตระหนักเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์และการสร้างเครือข่ายข่าวกรองระดับชุมชน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการนำนโยบายสู่การแก้ไขปัญหายาเสพติดและจัดการกับขบวนการมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในระดับพื้นที่ เช่น กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ภายใต้ความเป็นผู้นำหน่วยของพล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย และคณะทำงานแบบบูรณาการแก้ไขปัญหาขบวนการมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีความคืบหน้าแบบก้าวกระโดด ทั้งในมิติของการบังคับใช้กฎหมายและมิติของสังคมเพื่อความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนทุกคน
นอกจากนี้ ตลอดระยะเวลาของการที่เป็นกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้เห็นความสำคัญของการลงพื้นที่ไปสัมผัสหน้างานภารกิจของตำรวจระดับพื้นที่จริง เช่น กองบังคับการตำรวจภูธร จังหวัดหนองคาย ภายใต้การนำของพล.ต.ต.พิรัชย์ อุดมพิสุทธิคุณ เป็นพื้นที่ที่มีการขึ้นยาเสพติดและขนยาเสพติดที่ในอดีตเคยรุนแรงตามแนวชายแดน แต่วันนี้เกิดมิติใหม่กระชับความปลอดภัยประชาชนไทย-ลาว โดยคณะนายตำรวจภูธรของจังหวัดหนองคายและตนได้มีโอกาสเดินทางไปประชุมหาแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ร่วมกับพลจัตวา ดร.บัวผัน ฟองมะนี หัวหน้ากองบัญชาการป้องกันความสงบนครหลวงเวียงจันทน์แห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวและคณะหัวหน้านายตำรวจตามแนวชายแดนทั้งสองประเทศเพื่อผลักดันและสนับสนุนการจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์จัดการจับกุมผู้กระทำผิดระดับรากฝอยยันรากแก้วลำต้นของขบวนการค้ายาเสพติดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์ การเข้มงวดอย่างหนักเช่นนี้จะช่วยสร้างความตระหนักและการรณรงค์ในหมู่ประชาชนทั้งสองประเทศเพื่อลุกขึ้นต่อสู้กับขบวนการค้ายาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติในทุกมิติแบบถอนรากถอนโคนได้สำเร็จยั่งยืน
“ผมเชื่อมั่นว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใต้การนำของทุกรัฐบาลจะยังสามารถคงเป็นที่พึ่งของประชาชนและสามารถฟื้นฟูความศรัทธาของประชาชนได้ถ้านายตำรวจทุกคนทำตามหน้าที่ด้วยความซื่อตรง และขอให้ฝ่ายนโยบายที่จะต้องเดินหน้าต่อไปช่วยสานต่อและสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ลงพื้นที่เข้าถึงประชาชนและไปดูหน้างานตามแนวชายแดนจะได้ข้อมูลแท้จริงจะทำให้ฝ่ายนโยบายตัดสินใจได้ถูกต้องตอบโจทย์ตรงเป้าความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเกิดผลสัมฤทธิ์ตามเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์อันเป็นส่วนหนึ่งของโรดแมป (Roadmap) ฟื้นฟูความศรัทธาของประชาชน ที่ผมออกแบบและได้เสนอให้กับสำนักงานกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (สนง.ก.ต.ช.) ไปแล้ว” ดร.นพดล กล่าว
ดร.นพดล กล่าวด้วยว่า สุดท้ายนี้ขอขอบคุณคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติทุกท่านที่ให้การต้อนรับผู้แทนจากภาคประชาชนและสนับสนุนผมตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งและขอขอบคุณเพื่อนร่วมงานทุกท่านในสำนักงาน ก.ต.ช. ที่ร่วมมือกันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อช่วยกันออกแบบยุทธศาสตร์ นโยบาย แผน และระเบียบปฏิบัติพัฒนางานตำรวจเพื่อองค์กรตำรวจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลสัมฤทธิ์ในการรักษาความมั่นคงของชาติและความปลอดภัยของประชาชนทุกคน