วันอังคาร, กันยายน 17, 2024
spot_img
หน้าแรกNEWS‘ศิริกัญญา’ยก 4 เหตุผลค้าน‘กู้สุดเพดาน’ ‘นักวิชาการ’จี้ถอนคันเร่งหวั่นสร้างวิกฤติ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

‘ศิริกัญญา’ยก 4 เหตุผลค้าน‘กู้สุดเพดาน’ ‘นักวิชาการ’จี้ถอนคันเร่งหวั่นสร้างวิกฤติ

“ศิริกัญญา” ขอตัดงบฯเงินหมื่นเหลือหมื่นล้าน ซัดจะเล่นแร่แปรธาตุอย่างไร ดอกเบี้ยไม่หลอกใคร ยก 4 เหตุผลค้านชนฝา เหตุรบ.กู้สุดเพดาน อัดเกินเลยไปมาก เอาค่าน้ำค่าไฟมาเป็นรายจ่ายลงทุน โอดตัวเลขรเปลี่ยนไปมาไม่รู้ใช้ตัวเลขไหนกันแน่ ขณะที่นักวิชาการ จี้รัฐบาลถอนคันเร่ง หวั่นสร้างวิกฤตเศรษฐกิจรอบใหม่ เชื่อมีคนยื่นตีความต่อองค์กรอิสระแน่

เมื่อวันที่ 31 ก.ค.67 เวลา 12.48 น.ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาฯ ที่มีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่ประธานในการประชุมได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 พ.ศ… วงเงิน 1.22 แสนล้านบาท ในวาระ 2-3 ต่อมาน.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ตนขอแปรญัตติในมาตรา 3 เพื่อจะปรับลดงบประมาณให้เหลือ 10,000 ล้านบาท ด้วย 4 เหตุผล 1.เราไม่ควรจะกู้เพิ่มอีกแล้ว โดยฐานะทางการคลังของประเทศ ณ วันนี้มันยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลัง แต่มันปริ่มเพดานไปหมด ไต่ขอบไต่เส้นไปซะทุกอย่าง หนี้สาธารณะท่านจะเล่นแร่แปรธาตุอย่างไรก็ตาม แต่ดอกเบี้ยมันไม่หลอกใคร ในปีงบ 67 68 เราทราบกันดีว่ามีการตั้งงบสำหรับการชำระดอกเบี้ยไว้ไม่พอ ปีที่แล้ว ตั้งไว้ 200,000 กว่าล้าน ยังต้องใช้เงินคงคลังเพิ่มอีก 40,000 ล้านบาท ปี 68 ก็น่าจะไม่พออีกเช่นเดียวกัน ทั้งที่ตั้งไว้ 260,000 กว่าล้าน ปี 69 เฉพาะดอกเบี้ยอย่างเดียว จะขึ้นไป 370,000 ล้านบาท หรือ 12% ของรายได้รัฐบาล พอปี 71 ก็สูงขึ้นเกือบ 500,000 ล้านบาท นี่เราไม่ต้องทำอะไรกันแล้ว เราหารายได้เท่าไหร่ เก็บภาษีได้เท่าไหร่ เอาไปใช้จ่ายเป็นดอกเบี้ยทั้งหมด รวมเงินต้นด้วย ก็จะขึ้นไปเกือบ 20% มันเป็นปัญหาที่จะผูกพันเราไปอีกในอนาคต ดิฉันจึงเสนอว่าไม่ควรกู้เพิ่มอีกต่อไป

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวต่อว่า การกู้เงินครั้งนี้เป็นการกู้แบบสุดเพดาน ไม่เผื่อเหลือเผื่อขาด จะเก็บรายได้ไม่เข้าเป้า กรรมาธิการได้สอบถามหรือไม่ว่ามีการประมาณการรายได้ของปี 67 ไว้หรือไม่ และประเมินว่าจะเก็บพลาดเป้าเท่าไหร่ ตนสังเกตการณ์อยู่ในห้อง ตัวแทนจากกระทรวงการคลังเองบอกว่าประมาณแล้ว แต่ไม่บอกว่าเป็นเท่าไหร่ บอกว่าขอให้เชื่อมั่น ขอให้มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วจะไม่มีปัญหา แต่ตัวเลข 9 เดือนออกมาแล้ว กรมสรรพสามิตก็แถลงแล้วว่าเก็บพลาดเป้าเกือบ 60,000 ล้านบาท แต่เราก็ยังมากู้เพิ่มจนสุดเพดาน ถือเป็นการสร้างความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นต่อระบบการคลัง จึงขอยืนยันว่าตนให้งบเพิ่มเติมได้เท่าที่รัฐบาลหารายได้มาได้ 2.ถึงจะกู้ได้ก็ใช้ภายในปีงบประมาณตามกฎหมาย ซึ่งการจะเป็นหนี้ได้ก็ต้องมีระเบียบมารองรับ ตนมองว่าจะเป็นการสร้างบรรทัดฐานผิดๆ ในอนาคต ซึ่งในห้องกรรมาธิการไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นสัญญาประเภทใด ถ้าเป็นสัญญาให้ไม่ถือว่าเป็นการก่อหนี้เหมือนฟ้องร้องกันไม่ได้ 3.ต้องทำให้สัดส่วนรายจ่ายลงทุนถูกต้องตามกฎหมาย มองว่าเป็นการทำผิดกฎหมายอีกรอบหนึ่ง ก่อนหน้านี้มีการชี้แจงในห้องกรรมาธิการว่าทำไมถึงคิดว่ารายจ่ายของดิจิทัลวอลเล็ตเป็นรายจ่ายลงทุนถึง 80% ซึ่งพอเข้ามาชี้แจงในห้องวิปฝ่ายค้านก็มีการเปลี่ยนแปลงอีก ใช้วิธีการวิเคราะห์ให้เกิดดอกผลกับไม่เกิดดอกผล แล้วบอกว่าส่วนที่เกิดดอกผลคือรายจ่ายลงทุน

“รายจ่ายลงทุนจริงๆ พยายามค้นหาแล้ว ประชาชนช่วยการสแกน QR Code เข้าไปหานะคะ มีค่าที่จะไปซื้อรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ จ่ายเป็นค่าเช่าบ้านตีความอย่างกว้าง ใจกว้างที่สุดแล้ว ว่าเป็นรายจ่ายลงทุน มี 13% เท่านั้นเอง มันมีปัญหาแน่ๆ มาตรา20(1) เราต้องมีรายจ่ายลงทุนมากกว่าที่เรากู้เพื่อชดเชยขาดดุล 805,000 ล้านบาท แต่ท่านกลับเอาค่าใช้จ่ายการอุปโภคบริโภคตามปกติของครัวเรือนที่เป็นค่าอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ มาบอกว่าเป็นรายจ่ายลงทุนได้ ดิฉันคิดว่ามันเกินเลยไปมาก มาตรา 20(1) ไม่ทำก็ได้ ก็แค่บอกกับสภา …. แต่ท่านพยายามบิดกฎหมาย” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวอีกว่า 4.ยังไม่คุ้มค่าที่จะทำ แหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นจากเดิมที่เคยประเมินเอาไว้ว่าจะโตได้ 1.2-1.8 % มันจะไม่เท่าเดิมอีกต่อไปแล้ว ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการคลังก็ออกมาบอกในห้องประชุมกรรมาธิการ ตนได้ยินกับหูว่าเขาประเมินให้ใหม่แล้ว เหลือเพียง 0.9 % แต่พอแถลงข่าวรัฐมนตรีช่วยฯ ก็กลับไปใช้ตัวเลข 1.2-1.8% ใช้ตัวเลขสูงไว้ก่อน

“ยิ่งสะท้อนว่าโครงการนี้ไม่ได้มีการประเมินความคุ้มค่า ท่านอาจจะบอกว่าโครงการนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลกนี้เลย ไม่รู้ว่าจะประมาณการอย่างไร แต่เราสามารถจะประเมินขั้นต่ำขั้นสูงกันได้อยู่แล้ว ถ้าโครงการนี้มันมีการประเมินอย่างรอบคอบรอบด้าน แต่เนื่องจากมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาแบบนี้ สรุปว่าไม่รู้จะใช้ตัวเลขไหนกันแน่ และเอกสารงบประมาณก็ไม่ได้มีการระบุตัวเลขไว้อย่างชัดเจน ดิฉันจึงไม่สามารถที่จะเห็นด้วยกับกรรมาธิการเสียงข้างมาก” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว

ต่อมานายวีระ ธีระภัทรานนท์ กมธ. เสียงข้างน้อย อภิปรายว่า ให้รัฐบาลถอนคันเร่งในการใช้โครงการดังกล่าวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเห็นชัดเจนว่ามีปัญหา และอาจต้องส่งให้องค์กรอิสระตีความในในอนาคต จึงขอให้รัฐบาลอย่ามองข้ามปัญหาเศรษฐกิจที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศกรีซ เพราะในสถานการณ์ของงบประมาณในประเด็นพบสัญญาณที่เป็นอันตราย คือ ส่วนรายจ่ายดอกเบี้ยที่สูงเกือบ 10% ของรายได้ที่หามาได้ โดยในการจัดทำงบปี68 พบมีกาตั้งงบเพื่อชดใช้หนี้ 4.1 แสนล้านบาท แบ่งเป็นเงินต้น 1.5 แสนล้านบาท และ ดอกเบี้ย 2.6 แสนล้านบาท เท่ากับ 9%

“การทำงบขาดดุลสูงที่สุด ติดเพดานงบขาดดุลมากไม่เคยมีมาก่อน ขณะนี้มียอดขาดดุลรวม 8.05 แสนล้านบาท ซึ่งมีเพดานที่สูงสุดโดยไม่ผิดกฎหมาย คือ 8.15 แสนล้านบาท จึงเหลือเงิน1หมื่นล้านบาท ดังนั้นในข้อกังวลคือวิกฤตการเงินการคลังในอนาคตหากบริหารจัดการไม่ถูกต้อง ไม่รอบคอบ โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้นำเป้าหมายสร้างความชอบธรรมในวิธีการดังกล่าวอันตราย ดังนั้นปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นนโยบายหาเสียงที่เป็นภาระต่องบประมาณ และอาจเป็นตัวอย่างของการทำนโยบายที่เสี่ยงต่อการทำงบประมาณในอนาคต”นายวีระ กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่สมาชิกอภิปรายยาวนานกว่า 2 ชั่วโมงที่ประชุมลงมติเห็นชอบ มาตรา3ตามที่กมธ.เสียงข้างมากเสนอมา ด้วยคะแนน 287ต่อ 170 งดออกเสียง 1ไม่ลงคะแนน 1

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img