“พิธา” บอก ความพยายามทำระบอบ ปชต. อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขหยุดนิ่ง-พัฒนาไม่ได้ จะเป็นอันตรายต่อการปกครอง เหตุ สูญเสียความยืดหยุ่น-ปรับสมดุลใหม่ให้เข้าสภาพแวดล้อม ไม่ขอก้าวล่วงคาดเดาคำวินิจฉัยศาล ยันไม่ได้ปลุกมวลชน อุบแผนสำรองหากคดียุบพรรคเป็นโทษ
วันที่ 2 ส.ค. 67 ที่อาคารอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล แถลงข่าวปิดคดียุบพรรค ว่า การตัดสินคดียุบพรรคก้าวไกล มีเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคที่เคยถูกยุบในอดีต ไม่มีระเบียบข้อบังคับ กฎหมายของกกต.ในการรวบรวมพยานหลักฐานในการยุบพรรค โดยพรรคก้าวไกลเป็นพรรคแรกที่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้น จึงเป็นเส้นแบ่งระหว่างพรรคก้าวไกล กับคดีของพรรคอื่นๆ ในอดีตที่ผ่านมา
นายพิธากล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2549 มีพรรคการเมืองถูกยุบไปทั้งหมด 33 พรรค มีนักการเมืองถูกตัดสิทธิไปอย่างน้อย 249 คน และมีการยกคำร้อง ประมาณ 14 ปีที่แล้ว พรรคนั้นเป็น 1 ใน 34 พรรคที่รอด พรรคนั้นรอดไม่ถูกยุบและยกคำร้องเพราะกระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากนายทะเบียนไม่ได้ทำตามที่ระเบียบของกกต.ที่กฎหมายบัญญัติไว้ แม้กระทั่งการชี้แจง ซึ่งเป็นการเสียโอกาส
นายพิธา กล่าวว่า พรรคก้าวไกลเห็นว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขนั้น เป็นการนำองค์ประกอบ 2 ประการ คือ ระบอบประชาธิปไตย และสถาบันพระมหากษัติรย์ มาดำรงอยู่คู่กัน กลายเป็นระบบการเมืองโดยหลักการอำนาจประชาธิปไตยเป็นของประชาชน สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ย่อมได้รับการคุ้มครองจากรัฐ โดยมีองค์พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ ซึ่งมีรูปแบบของรัฐเป็นรูปแบบของราชอาณาจักร โดยพระองค์ไม่ทรงใช้อำนาจทางการเมืองและการปกครองด้วยพระองค์เอง
ด้วยเหตุนี้ องค์พระประมุขของรัฐ จึงดำรงความเป็นกลางทางการเมือง มีพระราชฐานะเป็นที่เคารพสักการะของประชาชน ผู้ใดจะละเมิดฟ้องร้องมิได้ การประสานสถาบันพระมหากษัตริย์ กับระบอบประชาธิปไตยให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยสามารถรักษาคุณค่ารักษาพื้นฐานของทั้งสององค์ประกอบอย่างสมดุล จึงเป็นโจทย์สำคัญของการธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข และในแต่ละประเทศย่อมมีลักษณะไม่เหมือนกัน และไม่ได้มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว การจัดระเบียบสังคม การออกแบบสถาบันทางการเมือง กฎหมาย วัฒนธรรม คุณค่าพื้นฐานในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขของแต่ละประเทศ ย่อมเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง ไปตามวิวัฒนกาารของสังคม
ความพยายามที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข มีลักษณะหยุดนิ่งตายตัว พัฒนาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ย่อมเป็นอันตรายต่อการปกครองของเรา เพราะจะทำให้สูญเสียความยืดหยุ่น และความสามารถในการปรับสมดุลใหม่ให้เข้ากับสภาพแสดล้อม และเงื่อนไขทางสังคมที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เสียโอกาสที่จะรักษาสิ่งเก่าและเชื่อมประสานต่อสิ่งใหม่ เพื่อป้องกันไม่ให้ระบอบประขาธิปไตยและสถาบันแปลกแยกต่อกัน
การปกปักรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข จึงไม่สามารถบรรลุได้ด้วยการใช้อำนาจด้วยการกดปราบ ไม่ว่าจะกดปราบจากการใช้กำลัง และกฎหมาย มีแต่ต้องสร้างสมดุลให้ได้สัดส่วนเหมาะสมกับยุคสมัย เพื่อให้ระบอบนี้มั่นคงยั่งยืน ด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา ด้วยความยินยอมพร้อมใจของประชาชน
เพราะหลายปีที่ผ่านมา การนำประเด็นความจงรักภักดี เข้ามากล่าวหาโจมตีทางการเมือง นำไปสนับสนุนหรือเกี่ยวพันกับการรัฐประหาร ทั้งการทำรัฐประหารโดยกำลังทหารและกฎหมาย รวมถึงการแสดงความจงรักภักดีอย่างล้นเกินเพื่ออำพรางการแสงหาผลประโยชน์ส่วนตนอย่างฉ้อฉลของคนบางกลุ่ม ประกอบกับความเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางการเมืองของยุคสมัย ได้กระตุ้นให้เกิดปฏิกริยาการเมือง และความรู้สึกนึกคิดแบบใหม่ ซึ่งสังคมไทยในอดีตอาจไม่คุ้นเคย แทนที่ผู้มีอำนาจจะตระหนักถึงความผิดพลาดในอดีต และพยายามแสดงหากุศโลบายด้วยสติปัญญา เพื่อคลี่คลายแรงตึงเครียดและสร้างฉันทามติใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัย กลับเลือกที่จะใช้อำนาจกดประชาชนมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีการบังคับใช้ กฎหมาย ม.112 อย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน
สืบเนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว สส.พรรคก้าวไกลจึงเห็นความจำเป็นที่จะเสนอให้ปรับปรุงแก้ไข ม.112 ด้วยมีเจตนาที่จะฟื้นฟูสายสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป และสร้างสมดุลใหม่ที่ได้สัดส่วน ระหว่างการคุ้มครองพระเกียรติยศแห่งองค์พระประมุขกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของสถรบันพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติรย์ทรงเป็นพระประมุขจะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้ มิใช่การบ่อนทำลายสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และหลักคุณค่าพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย
ในทางตรงกันข้ามการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องโอบรับความหลากหลายในสังคมอย่างมีภราดรภาพ มีการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อันเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ และมีความอดทนอดกลั้นในการรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างหลากหลาย กระบวนการทางประชาธิปไตย แก้ปัญหาความแตกต่างความแตกต่างขัดแย้งในสังคมอย่างมีวุฒิภาวะ ด้วยวิถึการเสริมสร้างประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้องค์พระบารมี ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนโดยไม่แบ่งแยก จะเป็นการธำรงค์ไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขให้ยืนยงสืบไปเยี่ยงนานาอารยะประเทศ
จากนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ ถึงแนวทางการต่อสู้คดีของพรรคก้าวไกล ผู้สื่อข่าวถามถึงการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ นายพิธา กล่าวว่า ตนเองคงไม่ขอก้าวล่วงประเมินไปข้างหน้า แต่มั่นใจในข้อเท็จจริง และมั่นใจในเรื่องของข้อกฎหมายที่อธิบายไปแล้ว
นายพิธา กล่าวต่อว่า เราไม่สามารถก้าวล่วง หรือคาดเดาสิ่งที่เป็นคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือการยืนยันข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายทางของเรา และเชื่อว่าพรรคก้าวไกลจะได้รับความยุติธรรม เหมือนพรรคหนึ่งที่เคยได้รับมาเมื่อ 14 ปีที่แล้ว รวมถึงบรรทัดฐานในการพิจารณาเป็นไปตามหลักสากล และการประชุมเอเชียที่จะเกิดขึ้นในเดือนหน้าของศาลรัฐธรรมนูญไทยด้วย ก็ทำให้รู้สึกมั่นใจ ซึ่งตนเองไม่กังวลตามเหตุการณ์ทางการเมืองที่อาจจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ คิดว่าศาลรัฐธรรมนูญ จะตัดสินตามข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริง ตามที่ได้ยินข่าวมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อกฎหมายล้วนๆ
เมื่อถามว่า หากผลการตัดสินไม่เป็นคุณ จะทำอย่างไรต่อ นายพิธา กล่าวว่า มีคิดไว้ แต่ยังไม่ถึงถึงเวลา ตอนนี้เราโฟกัสในการใช้เวลาวันเสาร์ถึงวันพุธ ในการทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของเราอย่างเต็มที่ โดยในวันพุธตอนเช้า ตนเองยังมีคิวอภิปรายเกี่ยวกับ พ.ร.บ. ขนส่งสาธารณะ และทำหน้าที่อย่างมีสมาธิ กับสิ่งที่พี่พี่น้องประชาชน 14 ล้านคน เคยให้คะแนนเสียงมา ก็ยังทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเหมือนเดิม ไม่ได้รู้สึกว่าเสียสมาธิ หรือต้องทำอะไรเป็นพิเศษ
นายพิธา กล่าวถึงการเคลื่อนไหวของพี่น้องประชาชน ภายหลังจากตัดสินคดีว่า ตนเองไม่สามารถคาดเดาแทนพี่น้องประชาชนได้ หวังว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี และแน่นอนว่า การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ การชุมนุมเป็นสิ่งที่ประชาชนสามารถทำได้ ในระบอบประชาธิปไตยที่ไร้ความรุนแรง พรรคก้าวไกลจะไม่เป็นส่วนร่วมในการสร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้น เพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกลแน่นอน
นายพิธา กล่าวว่า กิจกรรมในวันที่ 7 สิงหาคม ณ ที่ทำการพรรค ไม่ได้เป็นการปลุกมวลชน แต่เป็นการมีส่วนร่วมของประชาชนมาโดยตลอด ทั้งสมาชิกพรรคและเจ้าหน้าที่พรรค
นายพิธา กล่าวถึงการหาพรรคสำรอง หลังมีกระแสการดีลพรรคถิ่นกาขาวชาววิไล ว่า ยังไม่ได้คิดถึงตรงนั้น ตอนนี้โฟกัสการสู้คดีเรื่องการยุบพรรค เมื่อถึงเวลาตอนนั้น คงพูดคุยอีกที แต่ตอนนี้พรรคยังไม่มีมติใดๆ ทั้งสิ้น หากคำตัดสินไม่เป็นคุณ ตนเองไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคใหม่แล้ว คงตอบแทนไม่ได้ แต่ยังเชื่อว่าในวันพฤหัสบดี( 8 ส.ค.) จะทำหน้าที่ให้สภาผู้แทนราษฎรเหมือนเดิม
นายพิธา ยืนยันว่า สส. ของพรรคยังรักษาความเป็นปึกแผ่นเหมือนเดิม ไม่มีตามที่มีกระแสข่าว และมีการพูดคุยถึงเรื่องการทำงานเพื่อตรวจสอบรัฐบาลเหมือนเดิม ไม่มีอะไรต้องห่วง