“จตุพร” กังขา “นักโทษทักษิณ” ที่ยังถูกพักโทษ แต่เรียก “แกนนำพรรคร่วมฯ” ไปหารือที่บ้านจันทร์ส่องหล้า หวังคุมตั้ง “ชัยเกษม นิติสิริ” เป็นนายกฯ ย้อนถามบ้านเมืองจะเอากันอย่างนี้เหรอ เพราะเจ้าของบ้านขอไปเมืองนอก ศาลยังไม่อนุมัติ เชื่อ “เศรษฐา” ต้องรับชะตากรรมการเมืองจากคนกันเอง ซ้ำยังหมดค่า สิ้นราคา
เมื่อค่ำวันที่ 14 ส.ค.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ แสดงข้อกังขาว่า แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลถูกเรียกไปบ้านจันทร์ส่องหล้าของนักโทษ “ทักษิณ ชินวัตร” เพื่อประชุมการตั้งรัฐบาลที่ให้นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ เป็นความเหมาะสมและทำให้บ้านเมืองสง่างามหรือไม่
“วันนี้ (เจ้าของบ้านจันทร์ส่องหล้า) ออกฤทธิ์ออกเดชมากที่สุดในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นคนที่ทำหน้าที่ดีล (ให้กลับประเทศไทย) ต้องทบทวนตัวเองเช่นกันว่า จะปล่อยบ้านเมืองกันในสภาพแบบนี้เหรอ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ความเสียหายรออยู่ข้างหน้า”นายจตุพร กล่าวและว่า ผลการตัดสินของศาล รธน.ว่า ก่อนหน้านี้ยิ่งใกล้วันศาล รธน.วินิจฉัยคดีถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นนายกฯหรือไม่ นักการเมือง นักวิเคราะห์มีความเชื่ออธิบายผ่านความรู้สึก โดยมั่นใจนายเศรษฐาจะรอด เพราะส่วนสำคัญไม่ต้องการให้ใช้อำนาจยุบสภา กระทั่งศาลมีมติ 5 ต่อ 4 เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ถอดถอนพ้นนายกฯ จึงเกิดปรากฎการณ์ “นักโทษ” เรียกแกนนำพรรคร่วมไปประชุมตั้งรัฐบาลใหม่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าตามมาทันที
นายจตุพร กล่าวย้ำและไม่เชื่อเด็ดขาดว่า ที่ผ่านมานายเศรษฐา เป็นนายกฯ ที่มีอำนาจแต่งตั้งคณะ รมต.โควต้าพรรคเพื่อไทย แต่กลับต้องมารับผิดชอบการกระทำเพราะเป็นผู้เสนอโปรดเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการ จึงคิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ดังนั้น หลังถูกศาล รธน.ถอดถอนแล้ว นายเศรษฐาหลุดลอยจากความสนใจของสังคมและสื่อมวลชน โดยเป้าหมายใหม่ต้องติดตามอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้าและนายชัยเกษม แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ที่ถูก “เจ้าของบ้าน” เรียก “ผู้นำพรรคร่วมรัฐบาล” ไปประชุมให้สนับสนุนขึ้นเป็นนายกฯคนใหม่ คนที่ 31 ทั้งๆ ที่มีปัญหาสุขภาพที่จำกัดและไม่เอื้ออำนวยให้ทำงานหนักได้
“คนที่ทำให้คุณเศรษฐามีอันเป็นไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะพูดกับคุณเศรษฐาอย่างไร แต่ผมเชื่อว่า คุณเศรษฐาจะไม่มีความสำคัญต่อเขาอีกต่อไป ส่วนเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นจากนี้ จะเป็นชะตากรรมที่คุณเศรษฐา จะรับผิดชอบไป” นายจตุพรกล่าว พร้อมถามว่า ทำไมต้องเอานายชัยเกษม อดีตอัยการสูงสุด ขึ้นมาเป็นนากฯคนใหม่ ทั้งๆ ที่ มีเรื่องราวการทำงานในอดีตและเกี่ยวข้องกับคดีที่นายเศรษฐาพ้นไปด้วย ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม เพราะมีเหตุเพียงแค่ไม่กล้าให้ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและลูกสาวของตัวเองขึ้นเป็นนายกฯ
“ถ้าอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯ ผมเชื่อว่า แม่คงไม่ยอมให้มาเป็นตัวเร่งสถานการณ์ ซึ่งแตกต่างจากนายเศรษฐา แม้ไม่มีคนรัก แต่ก็ไม่มีคนเกลียดเข้าไส้ ราวกับเป็นคนไร้ตัวตน สังคมไม่มีความรู้สึกผูกพันดเสียดาย หากเป็นอุ๊งอิ๊ง เธอมีบุคลิกพิเศษที่เรียกความชิงชังได้เร็วมาก” นายจตุพร กล่าวพร้อมยกตัวอย่างการพูดทางการเมืองในอดีตว่า อุ๊งอิ๊งปราศรัยหาเสียงบนเวทีต่างๆ แสดงออกทั้งตัวกับสัญญาประชาชน โดยเน้น “ปิดสวิตซ์ 3 ป.” และ “ปิดสวิตซ์ สว.” พร้อมให้ดูหน้าจดจำเป็นสิ่งรับประกันคำพูดทางการเมืองไว้ว่า ที่พูดเป็นความจริง แต่ที่สุดผลลัพธ์ออกมาเป็นตรงกันข้าม จึงทำให้อารมณ์คนไทยหมั่นไส้ สิ่งนี้ย่อมเป็นตัวเร่งสถานการณ์ที่เร็วมาก
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ยิ่งอุ๊งอิ๊งมาเป็นนายกฯ แล้วผลักดันดิจิทัลวอลเล็ต สานงานขายคอนโดฯ ให้ต่างชาติ 99 ปี และหนุนให้เกิดบ่อนกาสิโนต่อ แล้วยังดันโครงการแลนด์บริดจ์ต่อด้วย จึงไม่เป็นผลดีต่อการทำงานทางการเมืองแน่นอน สิ่งนี้คงทำให้นายทักษิณ ผู้เป็นพ่อ คงไม่กล้าส่งมาเป็นนายกฯ มาเป็นตัวเร่งสถานการณ์ความหมั่นไส้ ดังนั้น ให้นายชัยเกษม เป็นนายกฯ ย่อมดีกว่าให้ลูกสาวมาเสี่ยงติดคุก
“ถึงวันนี้ ผมไม่รู้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคิดอย่างไร แต่สมควรหรือไม่ กับนักโทษที่อยู่ระหว่างพักโทษและต้องคดี ม.112 เรียกบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ไปคุยในบ้านได้ เราจะตั้งรัฐบาลกับคนเลี้ยงหลานแบบนี้เหรอ เอากันแบบนี้เหรอ ถามกันจริงๆ เพราะพรรคการเมืองบุคคลภายนอกเข้าไปแทรกแซงไม่ได้ แต่ “คนนี้” ใหญ่กว่าทุกพรรค สื่อถ่ายภาพหน้าบ้านจันทร์ส่องหล้ามายืนยันเต็มไปหมดแล้ว”นายจตุพร กล่าวและว่า คนที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตในคดีทุจริต ศาลอาญาตัดสินลงโทษ 12 ปี นับพร้อมเหลือ 8 ปี และได้รับอภัยลดโทษติดคุก 1 ปี แต่ไม่ย่อมเข้าคุกสักวัน ซึ่งรายงานของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชัดเจนว่า มี 2 หน่วยงานเอื้อประโยชน์ไม่ให้ติดคุก
นายจตุพร กล่าวย้ำว่า นักโทษสั่งให้แกนนำพรรคร่วมไปประชุมบ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อสนับสนุนให้นายชัยเกษม คนที่เมื่อครั้งเป็นอดีตอัยการสูงสุด เคยสั่งไม่ฟ้องนายทักษิณ ในคดีสำคัญมาแล้ว แล้วการตั้งรัฐบาลเช่นนี้ ยังไปจัดที่บ้านจันทร์ส่องหล้าได้อย่างไรกัน ทั้งที่ “เจ้าของบ้าน” ขออนุญาตไปต่างประเทศ ศาลอาญายังไม่อนุญาตเลย
“อยากให้สังคมไทยตั้งสติว่า บ้านเมืองจะเดินไปได้อย่างไร เมื่อนายชัยเกษมมา ก็ต้องเดินหน้าดิจิทัลวอลเล็ตต่อ เอาบ่อนต่อ เอาคอนโดฯ 99 ปี 75% ต่อ เอาแลนด์บริดจ์ให้เช่าที่ดิน 3 แสนไร่ 99 ปีต่อ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการหาเสียงมาเลย ถ้าอ้างว่านโยบายหาเสียงแล้วคงได้ไม่กี่คะแนนเสียงแน่”นายจตุพร กล่าวพร้อมทิ้งท้ายว่า ถ้าพรรคอื่นเป็นนายกฯ คงให้ยกเลิกดิจิทัลวอลเล็ต แล้วแจกเป็นเงินสดแทน กระแสนิยมทางการเมืองจะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น พรรคเพื่อไทยควรทบทวนการหาเสียงทางการเมืองว่า สัญญากับประชาชนไว้อย่างไร ไม่ร่วมกับใครแล้วสุดท้ายมาตระบัดสัตย์ เมื่อเริ่มโกหกจึงต้องตระบัดสัตย์กันต่อไป แล้วไม่มีผลงานที่เพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาล ซ้ำร้ายคนกันเองยังทำร้ายนายเศรษฐา ในทางการเมือง จนต้องพ้นจากนายกฯด้วย