“จตุพร” ฟันธง “ทักษิณ” รอดยาก “คดีชั้น 14-ครอบงำพรรค” เชื่อศาล รธน.รับคำร้อง แค่รอ “อสส.” ส่งเอกสาร 15 วัน คาดสอดรับผลไต่สวนทุกองค์กรจวนเสร็จ ส่อแนวโน้มไหลมาบรรจบ เป็นหลักฐานประกอบคำวินิจฉัยที่ศาล เย้ยพฤติกรรมปากบอกสู้ แต่ใจยิ่งสั่นกลัวที่สุด แม้คิดหนี แต่ทุกช่องทางถูกปิดสนิท
เมื่อวันที่ 22 ต.ค.ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ ระบุว่า ให้จับตา ติดตามสถานการณ์รัฐบาลที่จวนถึงช่วงปลายล่มสลาย โดยเชื่อว่า ทุกคำร้องและการพิจารณา ตรวจสอบขององค์กรอิสระ และหน่วยงานเกี่ยวข้องจะเสร็จสิ้นการไต่สวน แล้วผลตรวจสอบจะถูกนำไปประกอบคำวินิจฉัยในศาลรัฐธรรมนูญ
นายจตุพร เชื่อว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องของนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความอิสระ ไว้พิจารณา ขณะที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ยังเร่งพิจารณาคำร้องเรียนข้อหาครอบงำพรรคการเมือง โดยนัดผู้ร้องให้ปากคำเพิ่มเติม 28-29 ต.ค.นี้ เพื่อยืนยันคำร้องเดิมและแสดงถึงตัวตนจริงของผู้ร้องเรียนที่ใช้ชื่อบุคคล “นิรนาม”
“ผมเชื่อว่า อย่างไรศาลรัฐธรรมนูญต้องรับคำร้องไว้พิจารณา ยิ่งข้อที่ 1 ในเรื่องของคุณทักษิณ (ชินวัตร) เกี่ยวกับการละเมิดพระราชอำนาจ ซึ่งมองแล้ว จะเป็นอื่นไม่ได้ อีกทั้งการรอเอกสารของอัยการสูงสุดอีก 15 วัน จะเป็นช่วงเวลาสอดรับกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พิจารณากรณีชั้น 14 รพ.ตำรวจ ด้วย ดังนั้นทุกอย่างจะมีแนวโน้มไปบรรจบกันที่ศาลรัฐธรรมนูญ”นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร ยังกล่าวถึงการครอบงำ “พรรคร่วมรัฐบาล” ว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยพูดลอยๆ โต้ข้อกล่าวหาว่า ไม่ได้ครอบงำ แค่ไปกินข้าวกัน แล้วไม่ได้เสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย เป็นนายกฯด้วย แต่คำพูดตอบโต้แสดงถึงการยอมรับโดยพฤติกรรมเรียกนัดหารือถึงตำแหน่งนายกฯกันจริง ดังนั้นการเหิมเกริมอำนาจคิดเอาแต่ได้ของตนเอง และคิดว่าไม่มีใครทำอะไรได้ จนมีบทเรียนถูกยุบพรรคมาแล้วถึง 3 ครั้งคือ ไทยรักไทย พลังประชาชน และไทยรักษาชาติ ยังไม่จดจำ
นายจตุพร กล่าวต่อว่า การแถลงนโยบาลของรัฐบาลอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร (ลูกสาวทักษิณ) โดยนำวิสัยทัศน์ของพ่อ ที่แสดงต่อสาธารณะ 14 ประเด็นไปเป็นนโยบายถึง 11 ประเด็น แสดงถึงพฤติการณ์หาเรื่องใส่ตัวไม่หยุดหย่อนอย่างชัดเจน ทั้งที่ไม่มีใครบังคับให้กระทำ ดังนั้นการไม่เข็ดหลาบกับการเอาแต่ได้ประโยชน์ของตัวเอง และการเรียกพรรคร่วมรัฐบาลไปบ้านจันทร์ส่องหล้า ขณะที่อุ๊งอิ๊งอยู่ประเทศจีน ย่อมเป็นการแสดงถึงไม่สนใจความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
“ที่สำคัญคือ ตัวเอง (ทักษิณ) ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตในข้อหาทุจริตคอร์รัปชัน การนัดหารือนัดที่ไหนก็ได้ แล้วไงมาทำให้คนอื่นตามแก้ปัญหาทั้งนั้น แล้วจะโทษคนร้องรียนได้อย่างไงกัน เมื่อคุณเป็นสาเหตุ ถ้าไม่ใช่สาเหตุแล้วนักร้องจะร้องได้อย่างไง ถ้าร้องเรียนไม่จริง คุณก็ใช้สิทธิ์ดำเนินคดีได้อยู่แล้ว แต่เพราะมีกฎหมายห้าม แล้วคุณไปกระทำเองจะไปโทษอะไรอีก จนคนอื่นต้องมาตามแก้ให้ว่า ไม่มีอิทธิพลครอบงำ และใครเชื่อก็ตายโหงละ”นายจตุพร ระบุ
นายจตุพร กล่าวว่า อีกอย่างกรณีทักษิณ อยู่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ มีรายชื่อ 10 คนอนุญาตเข้าเยี่ยมได้ ดังนั้นต้องคิดเผื่อไว้ด้วยว่า ทักษิณป่วยจริงหรือไม่ วิกฤตจริงหรือไม่ ทั้งที่พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ไปเยี่ยมแล้วยืนยันว่า ไม่ได้ป่วยจริง ไม่ได้มีอาการป่วยวิกฤต และไม่มีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เฝ้า
“ปัญหาคน (มีรายชื่อ 10 คน) ที่ให้ไปเยี่ยมได้นั้น ถ้ามีการพิสูจน์ได้ว่า ทักษิณป่วยไม่จริง คุณ (ชื่อ 10 คน) เท่ากับรู้เห็น เป็นการช่วยเหลือคนกระทำความผิดกฎหมาย จึงเข้าข่ายตัวการสนับสนุนเหมือนกัน ปัญหาจะพันกันเต็มไปหมด แล้วยังลากคนในครอบครัวเข้ามา (ช่วยทำผิด) ลามไปใหญ่เลย และเมื่อถูกขยายผลจะทำความเดือดร้อนให้คนในครอบครัว เรื่องนี้จะคิดหรือไม่ก็ตาม”นายจตุพร กล่าว
สำหรับข่าวยุบสภาที่สะพัดในเวลานี้ นายจตุพร แสดงความเห็นว่า ถ้าทักษิณและคนอื่นจะเลือกอยู่ในไทยต่อไป คงไม่เลือกใช้วิธีการนี้ เพราะการอ้างว่า เรื่องราวที่ถูกดำเนินการขณะนี้ เป็นผลพวงรัฐประหาร แต่นายเศรษฐา ทวีสิน ได้เป็นนายกฯ และมี สว. 152 เสียงมาสนับสนุน แล้วมีพรรคจากฝ่ายรัฐประหารเดิม มาร่วมด้วย จึงแสดงถึงผลพวงรัฐประหาร แท้จริงมาช่วยพรรคเพื่อไทยตั้งรัฐบาลและทักษิณได้ประโยชน์
“การอ้างเหตุเช่นนี้ จึงมีพฤติกรรมว่า เมื่อได้ประโยชน์จากผลพวงรัฐประหารเอา แต่เสียหายกลับอ้างเป็นผลพวงรัฐประหาร ถ้าไม่ได้ สว.152 เสียงมาโหวตให้ จะได้เป็นรัฐบาลเหรอ และ 152 เสียงเป็นผลพวงรัฐประหารหรือไม่ แล้ววันนี้ถูกยื่นร้องเรียนยุบพรรค กลับบอกเป็นผลพวงรัฐประหาร” นายจตุพร กล่าวและย้อนว่า ถ้าแสดงความรังเกียจรัฐประหารจริงแล้ว ในวันที่ 22 ส.ค. (รัฐสภาโหวตเลือกนายกฯ) ต้องไม่รับ แล้วจะพูดถึงผลพวงรัฐประหารได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
“แต่นี่ วันที่ได้ประโยชน์ก็เอา วันที่ไม่ได้ก็ด่า แล้วยังเรียกร้องให้บ้านเมืองสมานฉันท์ ก้าวข้ามความขัดแย้ง ฟิล (อารมณ์ รู้สึก) ไหนกันแน่”นายจตุพร ระบุ
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า แต่ละเรื่องราวที่สร้างความเสียหายให้ประเทศนั้น สถานการณ์ขณะนี้ คงมีแต่ประชาชนที่จะหยุดยั้งได้ โดยประชาชนต้องตื่นตัว เตรียมพร้อมที่จะรับมือในแต่ละสถานการณ์ เพราะบทที่เขาจะเลี้ยวแล้ว ก็จะเลี้ยวอย่างน่ากลัว ไม่มีทางแยกก็จะเลี้ยว อีกอย่างแม้ทำท่าสู้ แต่ถ้าจะตาขาวก็พริบตาเดียวเช่นกัน ซึ่งตนรู้จักคนพวกนี้ดีว่า ยิ่งบอกว่าไม่กลัว นั่นเป็นสภาพบอกอาการกลัวที่สุด จึงมีข่าวสะพัดว่า ขอไปดูไบถึง 3 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต
“ผมรู้มาว่า ถ้าหนีรอบนี้ จะไม่ง่าย เพราะรอบแรกออกไปได้ เพราะเขาเปิดให้ออก และต่างฝ่ายรู้แล้วว่า ออกไปมีแต่ปัญหา ดังนั้นการแลกกับความเสียหายนี้ จึงทำให้โอกาสจะออกไปอีกครั้งนี้ ยากมากที่สุด”นายจตุพร กล่าวย้ำ
นายจตุพร กล่าวว่า ในสถานการณ์ชั้น 14 นั้น ทักษิณยากจะหนีพ้นความผิด ยิ่งเอาความรู้สึกทั่วไปและสาธารณะมาไตร่ตรองแล้ว ยังจะเชื่อว่าป่วยจริงหรือ แต่การอ้างป่วยได้สร้างความเสียหายให้กระบวนการยุติธรรมเละเทะไปหมด และเรื่องนี้นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ และรักษาการ รมว.ยุติธรรม ยังเทกระจาดทิ้ง โดยไม่ขอเกี่ยวข้องด้วย
“ดังนั้นทุกอย่าง (การพิจารณาตรวจสอบคำร้อง) จะไหลมารวมกัน ไม่ว่ามาจาก ป.ป.ช. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จากแพทยสภา และ กกต. กำลังไหลมาบรรจบกันเหมือนปากน้ำโพธิ์ (ที่ศาลรัฐธรรมนูญ) ขณะนี้เป็นการรอเวลาพิจารณาให้ไปชน บรรจบกันพอดี ซึ่งผมเชื่อว่า อย่างไรก็ไม่รอด”นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า พรรคร่วมรัฐบาลคงไม่ยอมให้ขายสมบัติชาติ โดยวันที่พิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ขนส่งทางรางนั้น ไม่มีพรรคร่วมเอาด้วย เพราะไม่เป็นไปตามมติวิปรัฐบาล อีกทั้งการไปกดหัวพรรคอื่นโดยคิดว่าจะทำได้นั้น พรรคร่วมแต่ละพรรคย่อมรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี ดังนั้น ประชาชนต้องติดตามสถานการณ์ช่วงปลายของรัฐบาลที่ภายในเต็มไปด้วยโพรงกลวง ซึ่งใกล้ถึงวันสิ้นสุดอำนาจมาทุกขณะ