‘มนพร’โต้กลับจูงพยานให้สัมภาษณ์สื่อ หลังมีชื่อเป็น เทวดา ม. เอี่ยว ‘ดิไอคอน’ ย้ำทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนชิงกมธ.สมัยนั้นเป็นฝ่ายค้าน ตะเพิด ‘พปชร.’ ย้อนดูตัวเอง ทำอะไรให้ ปชช.บ้าง จวก ปกติคนไม่ดี มักอ้างคนดี เป็นเกราะกำบังความผิด
วันที่ 30 ต.ค.2567 ที่รัฐสภา นางมนพร เจริญศรี สส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรมช.คมนาคม ให้สัมภาษณ์ภายหลังมีกระแสข่าวพาดพิงว่าเป็นเทวดาอักษรย่อ ม. ในกรรมาธิการ (กมธ.) คุ้มครองผู้บริโภค สภาผู้แทนราษฎร สมัยที่แล้ว และเกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอน กรุ๊ป ซึ่งนางมนพร ได้พา นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ซึ่งเป็นกรรมาธิการในขณะนั้น และปัจจุบัน ร่วมให้สัมภาษณ์ เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง พร้อมนำเอกสารแจ้งผลดำเนินการไกล่เกลี่ยเรื่องราวร้องทุกข์จากผู้เสียหายให้ผู้สื่อข่าวด้วย
ทั้งนี้ เอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2566 กมธ.คุ้มครองผู้บริโภค ได้ตั้งคณะอนุกมธ. ที่มีนางมนพรเป็นประธาน ขึ้นมาหารือเรื่องร้องทุกข์จากหญิงสาวคนหนึ่งที่ร้องเรียนว่า บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป ชักชวนให้สมัครสมาชิกและซื้อสินค้า เป็นยาสีฟัน จำนวน 211,115 บาท แต่กลับได้ยาสีฟันเพียงแค่ 50 หลอด โดยผลการดำเนินการของอนุกมธ. พบว่าได้ส่งเรื่องให้สำนักคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ดำเนินการไกล่เกลี่ย และทั้งคู่สามารถเจรจากันได้ โดยที่บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป คืนเงินทั้งหมด
โดย นางมนพร กล่าวว่า ตัวย่อ ม. สองตัวนั้น ม. ตัวแรกคงหมายถึง นายมานะ โลหะวณิชย์ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย จ.ชัยภูมิ และ ม. ตัวที่สอง คือ นางมนพร
เมื่อถามว่า กมธ.ในขณะนั้น มีการดำเนินการตามขั้นตอน ไม่ได้มีการดอง หรือความพยายามทำให้มีการจบเรื่อง โดยที่ไม่มีการสืบสวนต่อใช่หรือไม่ นางมนพร ยืนยันว่า ไม่มีการดอง เพราะเราคิดว่าคณะกรรมาธิการของสภาทุกคณะต้องเป็นที่พึ่งของประชาชน เมื่อประชาชนเดือดร้อนต้องการเงินคืน เราก็เร่งรัดเพื่อเอาเงินคืนให้กับผู้ที่ร้อง ซึ่งเราได้ใช้เวลาพิจารณาประมาณ 1 เดือน ภายหลังรับเรื่องร้องเรียน
เมื่อถามถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐพยายามจะเชื่อมโยงกับพรรคเพื่อไทย มองว่าเป้าหมาย คือการโยนเรื่องนี้ให้พรรคเพื่อไทย ใช่หรือไม่ นางมนพร กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่ในฐานะที่เป็น สส.ของพรรคเพื่อไทย ตนมองว่า คนที่ให้ข่าว เขายังไม่เข้าใจระบบ เพราะอำนาจของ กมธ.ไม่ใช่การเอาถูกหรือเอาผิด ซึ่งตอนนั้นตนเป็นพรรคร่วมฝ่ายค้าน แต่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลด้วยซ้ำ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ต้องไปสืบค้นต่อว่า บริษัทนี้ มีลักษณะฉ้อโกงประชาชนหรือไม่ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ต้องไปตรวจสอบว่า สินค้ามีคุณภาพหรือไม่อย่างไร
เมื่อถามว่า ในขณะนั้น ได้มีคนติดต่อมาขอเคลียร์อะไรหรือไม่ นางมนพร กล่าวว่า ไม่มี พร้อมกล่าวติดตลกว่า อาจเพราะเห็นหน้าพวกตนก็คงไม่มีใครกล้ามาติดต่ออะไร ย้ำว่า ตอนนั้นเป็นพรรคฝ่ายค้าน
เมื่อถามย้ำว่า มองว่าเป้าหมายของการออกมาให้ข้อมูลเช่นนั้นคืออะไร นางมนพร กล่าวว่า ตนตอบแทนไม่ได้ แต่คนให้ข่าวคงรู้อยู่แก่ใจว่า ในขณะที่เขาเป็นพรรครัฐบาล เหตุไฉนจึงปล่อยให้ปัญหาเกิดขึ้นเรื้อรัง จนทำให้พี่น้องประชาชนเดือดร้อนอยู่อย่างนี้
ส่วนกรณีที่มีการพูดถึง นายยุรนันท์ ภมรมนตรี หรือบอสแซม ซึ่งเคยเป็นผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทย นางมนพร กล่าวว่า นายยุรนันท์ออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยนานแล้ว ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด ส่วนการทำธุรกิจส่วนตัวก็เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยแต่อย่างใด
สำหรับกรณีเชื่อมโยงกลุ่มสามมิตร ซึ่งขณะนี้ย้ายมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย นางมนพร กล่าวว่า เรื่องนี้ตนทราบว่านายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะแกนนำกลุ่มสามมิตร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไปแล้ว
“ปกติคนที่ไม่ดี ก็จะไปอ้างคนที่ดี เพื่อเป็นเกราะกำบังให้กับการกระทำความผิดให้กับตัวเอง เพราะฉะนั้น ต้องย้อนกลับไปดูตัวเองว่า ตัวเองได้ทำอะไรไว้ให้กับพี่น้องประชาชน เราเป็นนักการเมือง เราต้องกล้ายืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง และวันนี้ นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการให้ สคบ. ติดตามคนที่กระทำความผิด รวมถึงกระทรวงการคลัง ก็ได้เร่งรัดการออกพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันการหลอกลวง
เมื่อถามว่า ในพรรคเพื่อไทย มีเทวดาหรือไม่ นางมนพร กล่าวว่า ไม่มี มีแต่ สส. และผู้บริหาร ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน “ขอให้ย้อนกลับไปดูเทวดาของท่าน ไม่ต้องมาคิดถึงเทวดาของพรรคเพื่อไทย เทวดาคงอยู่บนท้องฟ้า”
เมื่อถามว่าจะมีการดำเนินคดีกลับกับพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นางมนพร กล่าวว่า ไม่ เพราะนักการเมือง จะไม่หาเรื่องกับประชาชน ทั้งนี้ ส่วนตัว ตนไม่รู้จักกับรรดาบอสต่างๆ สักคน
ขณะที่ นายประเสริฐพงษ์ กล่าวเสริมว่า การที่มีข่าวออกมาเช่นนี้ ตนคิดว่าไม่ให้ความเป็นธรรม สำหรับนายมานะ และนางมนพร เพราะตอนนั้นเราทำงานกันอย่างตรงไปตรงมาจนได้ข้อยุติ แต่หากรัฐบาลใส่ใจตั้งแต่ตอนนั้นว่า มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น และดูแลเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก เรื่องนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น รวมถึงต้องไปดูในกระบวนการที่บกพร่อง ว่าเกิดจากอะไร เป็นความบกพร่องใน สคบ. หรือไม่