วันศุกร์, พฤศจิกายน 22, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightร้อง‘วันนอร์’สอบปม‘ทนายโจร-ทนายมิจ’ ขอปชช.มีสิทธิ์เข้าชื่อถอดถอนพ้นสารบบ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ร้อง‘วันนอร์’สอบปม‘ทนายโจร-ทนายมิจ’ ขอปชช.มีสิทธิ์เข้าชื่อถอดถอนพ้นสารบบ

“แทนคุณ” ร้อง ”วันนอร์” สอบสภาทนายความ ปล่อยให้มี “ทนายโจร-ทนายมิจฉาชีพ” ยุยงปลุกปั่นเกิดความแตกแยกในศาสนา เตือนทนายปากแซ่บ ระวังไปกองกับพื้น ขอปชช.มีสิทธิ์เข้าชื่อยื่นถอดถอนออกจากสารบบ ข้องใจสภาทนายฯได้รับเงินจากรัฐ ปีละ 20 ล้าน แต่ไม่ทำงานเพื่อประชาชน

วันที่ 4 พ.ย.2567 เวลา 10.00 น.ที่รัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ยื่นหนังสือต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ขอให้ตรวจสอบการทํางานของสภาทนายความฯโดยเฉพาะกรณีทนายความกระทําผิดข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาทของทนายความต่อประชาชนผู้มีอรรถคดี มรรยาทต่อตัวความ และมรรยาทเกี่ยวกับความประพฤติของทนายความ โดยมีนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ โฆษกประธานสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือ

นายแทนคุณ กล่าวว่า เนื่องจากตนได้รับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนเป็นจํานวนมากถึงพฤติกรรมของทนายความที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมและกระทําผิดต่อมรรยาททนายความหลายกรณี อาทิมีการเรียกรับทรัพย์สิน นอกจากค่าวิชาชีพจากผู้เสียหายและคู่กรณีแล้ว ยังมีการนําข้อมูลของคู่ความฝ่ายหนึ่งไปเปิดเผยให้อีกฝ่ายเพื่อเรียกร้องทรัพย์สินหรือผลประโยชน์อื่นใด ที่เรียกว่าการตบทรัพย์ กรรโชกทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ หรือนําทรัพย์สินของลูกความไปใช้แสวงหาผลประโยชน์เพื่อกิจการของตนเอง เช่นนําทรัพย์สินของลูกความไปใช้ถ่ายภาพเพื่อโฆษณาหรือธุรกิจของตน รวมทั้งกรณีทนายความที่แสดงออกและใช้คําพูดที่การเป็นสร้างความแตกแยกทางสังคม แตกแยกระหว่างศาสนา แสดงออกในลักษณะยุยงปลุกปั่นให้เกิดความเสียหายต่อความสงบและศีลธรรมอันดีของสังคมและใช้กลไกทางกระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง ฟ้องปิดปาก ผู้ที่เห็นต่าง หรือSLAPP ซึ่งถือเป็นการกระทําที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพและละเมิดสิทธิมนุษยชน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า แม้จะมีการร้องเรียนไปที่สภาทนายความ ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่สิ่งที่ได้คือการอ้างกฎระเบียบที่ต้องส่งข้อมูลการกล่าวหาทนายความที่เป็นคู่ความให้ได้รับทราบ โดยไม่มีการคํานึงถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือปกปิดตัวตนของคู่ความ จนเป็นเหตุให้ทนายความที่ถูกร้องเรียนดังกล่าว กลับมาฟ้องปิดปากคู่ความ ทําให้ไม่มีคนกล้าไปร้องเรียน และกระบวนการพิจารณาไม่มีกรอบเวลา ไม่มีความชัดเจน พบว่าอาจมีการปล่อยปละละเลย เพิกเฉยต่อปัญหา ใช้เวลาในการพิจารณานานนับปี สร้างความทุกข์ทรมานและความขัดแย้งไม่จบสิ้น ทั้งที่ทนายความถือว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมาย สมควรที่จะเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่กลายเป็นว่า ทนายความบางคนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความอยุติธรรมที่ทําร้ายประชาชน จนมีการเรียกทนายที่มีพฤติกรรมดังกล่าวว่า “ทนายโจร”

“ทนายมิจฉาชีพ”และการที่สภาทนายความขาดประสิทธิภาพในการทํางานช่วยเหลือประชาชนอย่างทันท่วงที แม้พฤติกรรมของทนายความเพียงส่วนน้อย แต่ถูกขยายผลทําให้พี่น้องประชาชนรู้สึกว่าเป็นการทําลายภาพลักษณ์ และศักดิ์ศรีของทนายความมืออาชีพที่กระทําการด้วยความสุจริตต้องได้รับผลกระทบถูกตําหนิ และถูกมองในแง่ลบจนตกตํ่าลงถึงขีดสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และความยุติธรรมที่ล่าช้า กลายเป็นความอยุติธรรมที่กําลังกลายเป็นความรุนแรงเชิงระบบรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสภาทนายความควรเร่งแก้ไข ไม่ใช่เพียงแค่ประณามผู้ใช้ความรุนแรง แต่ควรสืบหาและศึกษาพฤติกรรมยั่วยุของทนายความที่ทําให้เกิดความรุนแรง จนอาจทําให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าสภาทนายความให้ความสําคัญ แต่กับทนายความในสังกัดของตนที่ถูกกระทําความรุนแรงจนละเลยความรู้สึกประชาชน ผู้ถูกกระทําจากทนายความและทําให้เข้าใจไปว่าเข้าข้างหรือปกป้องพวกเดียวกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของความรุนแรงไปด้วยหรือไม่

นายแทนคุณ กล่าวต่อว่า จึงต้องการให้ ประธานสภาฯตรวจสอบการทํางานของสภาทนายความ เกี่ยวกับการดําเนินการกรณีเรื่องร้องเรียนมรรยาททนายความ เพื่อป้องกันไม่ให้มีทนายโจร หรือทนายมิจฉาชีพ คือ1.ให้ทบทวนกระบวนการในการร้องเรียนมรรยาททนายด้วยการปกปิด และคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เป็นคู่ความกับทนายความเพื่อปกป้องสิทธิผู้กล่าวหาโดยเฉพาะกรณีเป็นประชาชนมิให้ถูก นําไปฟ้องกลับโดยควรส่งทนายของสภาทนายความมาดูแลลูกความที่ถูกทนายความฟ้องในกรณีที่สภาทนายความนําข้อมูลไปเปิดเผยจนได้รับความเสียหาย 2.กรณีที่มีการนําข้อมูลต่างๆ ไปบอกต่อคู่ความเพื่อเรียกทรัพย์สินอื่นใดๆอันมิชอบ การยักยอกทรัพย์ของลูกความ การนําทรัพย์ของลูกความไปใช้ หรือแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ให้ถือว่าเป็ นการทุจริตคอร์รัปชั่นต่อหน้าที่อย่างร้ายแรง เมื่อมีผู้ร้องเรียน หรือทางสภาทนายควา ทราบจากการนําเสนอของสื่อ ขอให้ให้ความสําคัญในการดําเนินการตรวจสอบหากพบว่ามีมูลขอให้ลบชื่อออกจากสารบบการเป็นทนายความโดยมิให้กลับมาเป็นทนายความได้อีกตลอดชีวิต

3.กรณีทนายความที่มีพฤติกรรมที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีและเป็ นภัยคุกคามต่อความมั่นคง มีพฤติกรรมคุกคาม ยุยงปลุกปั่นล่อลวงโน้มน้าวชี้นํา ให้เกิดความขัดแย้งทางส้งคม ศาสนาอันอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ขอให้สภาทนายความแก้ไขข้อบังคับของสภาทนายความให้สิทธิประชาชนในการเข้าชื่อกัน 10 รายชื่อเพื่อยื่นถอดถอนและลบชื่อออก จากสารบบของทนายความตลอดชีวิต 4.กรณีการร้องเรียนมรรยาททนายความที่มีพฤติกรรมไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน พยานบุคคล กรณีแสวงหาผลประโยชน์กับกลุ่มเปราะบาง เด็กเยาวชน ผู้ป่วยจิตเวช ผู้พิการ ฯลฯเป็นต้น หรือการโพสต์ข้อความ การสื่อสารใดๆ ที่ทําให้เกิดความขัดแย้งเสียหายต่อผู้อื่น หรือมีลักษณะฟ้องกลั่นแกล้งไปฟ้องในที่ไกลๆ ขอให้ถือว่ามีเจตนากระทําการคุกคามสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขอให้สามารถลบชื่ออกจากสารบบของทนายความด้วย โดยสภาทนายความควรจัดหาทนายความขอแรง เพื่อช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมกับกลุ่มเปราะบางดังกล่าว มิให้ตกเป็นเครื่องมือของทนายความที่มีพฤติกรรมหลอกใช้ หลอกลวงเด็กเยาวชนและกลุ่มเปราะบาง

5.ขอให้สภาทนายความฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการกระทําของทนายความในสังกัดสภาทนายความและได้รับผลกระทบจากการทํางานที่ขาดความเข้าใจในสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้กล่าวหา โดยสภาทนายความจนต้องคดีความกับเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ต่อสาธารณะ 6.ควรเคร่งครัดในกรณีที่พบพฤติกรรมของทนายความที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ข่มขู่ประจานหรือนําข้อมูลของตัวความที่เป็นคู่กรณีกับทนาย ไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่น หรือให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ให้ถือเป็นความผิดร้ายแรงต้องลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ

7.ในกรณีที่พบว่า มีทนายความที่กระทําความผิดและต้องเพิกถอนใบอนุญาตทนายความที่กระทําผิดและถูกลบชื่อออกจากทะเบียน โดยสภาทนายความฯ ควรเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวให้เป็นสาธารณะ หรืออย่างน้อยที่สุด คือแจ้งให้ผู้ที่กล่าวหา หรือร้องเรียนได้รับทราบ เพื่อมิให้บุคคลที่ขาดคุณสมบัติยังคงแอบแฝง แอบอ้างและใช้คําว่า ทนาย เพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือ หลอกลวงประชาชนจนเกิดความเสียหายต่อไป และควรกําหนดคุณสมบัติด้านสุขภาพจิตของทนายความ โดยมีการให้ตรวจสุขภาพจิตทุกๆ 3 ปี เนื่องจากทนายความต้องอยู่กับการทําคดีความจําเป็นต้องมีการดูแลสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่องเพื่อมิให้ใช้กฎหมายหรือทัศนคติที่เป็นภัยต่อความยุติธรรม

นายแทนคุณ กล่าวด้วยว่า จากการกระทําของทนายความและเกิดจากความล่าช้าของสภาทนายความ โดยมีการฟ้องกลั่นแกล้ง และยุยงปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยก นํามาซึ่งความไม่พอใจระหว่างศาสนิกชน 2 ศาสนา ทั้งพุทธและอิสลาม เพื่อเป็นการป้องปรามเหตุการณ์มิให้บานปลาย จึงได้นําหลักฐานการโพสต์ข้อความอันเป็นการกระทําที่หมิ่นเหม่ต่อการละเมิดศรัทธา ศีลธรรมอันดี และเป็นภัยคุกคามความมั่นคงเพื่อมอบให้ท่านประธาน เพื่อพิจารณาดําเนินการตัดไฟแต่ต้นลมก่อนที่จะลุกลามบานปลาย กลายเป็นความขัดแย้งระหว่างศาสนา ที่ไม่อาจระงับยับยั้งได้ทันหากสามารถพิจารณาว่า ควรมอบให้คณะกรรมาธิการใดในการเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาดังที่มีพี่น้องประชาชน ตนก็ยินดีเข้าพบเพื่อชี้แจงเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาเชิงโครงสร้างที่ซับซ้อน ทั้งโครงสร้างความยุติธรรม สิทธิมนุษยชนสิทธิเสรีภาพ สิทธิเด็ก สิทธิเสรีภาพในการนับถือและแสดงออกต่อศาสนาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ภัยคุกคามต่อความมั่นคงทางศาสนา

ด้านนายนายคัมภีร์ กล่าวว่า เรื่องนี้มี 2 เรื่อง คือสภาทนายความและการดำเนินการเรื่องหมิ่นเหม่ในศาสนา โดยจะให้ฝ่ายกฎหมายได้พิจารณา และนำเรียนประธานสภาฯ เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป และตนเห็นว่าเรื่องต่างๆที่เป็นปัญหาของบ้านเมือง ต้องรีบดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เสร็จสิ้น

จากนั้นนายแทนคุณ กล่าวเพิ่มเติมว่าตนได้รับการประสานจากประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เตรียมยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสภาทนายความ ในวันที่ 11 พ.ย. และวันที่ 12 พ.ย. จะยื่นเรื่องต่อประธานสภาฯ เพื่อร้องเรียนให้ตรวจสอบทนายที่สร้างความแตกแยกระหว่างศาสนา

“ผมขอเตือนว่าหากทนายคนนี้ไม่หยุดสร้างความแตกแยกทางศาสนา ขอให้ระวัง ที่บอกว่าจะเตรียมปืนไว้ป้องกันตัว ผมไม่อยากคิดว่าเขาจะเตรียมอะไรไปด้วยบ้าง หากยังปากแซ่บอาจได้ลงไปกองกับพื้น ซึ่งผมไม่อยากให้เลยเถิด และเรื่องนี้สภาทนายความอย่าปัดความรรับผิดชอบ เพราะเป็นความรุนแรงเชิงระบบ ผมทราบว่าสภาทนาความ รับเงินจากรัฐบาลปีละ 20 ล้านบาท แต่กลับไม่ทำงานเพื่อประชาชน หากปล่อยไป จะกลายเป็นความรุนแแรงที่คาดไม่ถึง” นายแทนคุณ กล่าว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img