“จตุพร” ลุ้นปมรพ.ชั้น 14 เข้า ป.ป.ช.ชุดใหญ่สัปดาห์หน้า ระบุ “กก.ไต่สวน” มติเอกฉันท์ “ชี้มูลความผิด” เสนอฟ้องศาล “รมต.-ขรก.ใหญ่” โดนคดีเพียบ อื้ออึง “ไอ้โม่งป.ป.ช.บางคน” ทำตัวเป็น “บ่าวรับใช้นาย” แลกประโยชน์ ดิ้นกดดันยุติเรื่อง เผยเล่า “ชีวิตคนคุก” เตือนสติอย่าทำผิด ยกอุทาหรณ์โลก “คนแก่ติดคุก” ไม่สวย ช่วยตัวเองไม่ได้
เมื่อค่ำวันที่ 29 พ.ย.67 นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์ ระบุว่า ขอถอดบทเรียนเล่าชีวิตข้าราชการใหญ่วัยแก่กว่า 80 ปี ติดคุกเป็นอุทาหรณ์ให้คนใหญ่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) บางคน ซึ่งมีเสียงอื้ออึงกำลังช่วยเปลี่ยนผลตรวจสอบชั้น 14 จากมีความผิดเป็นยุติเรื่องอ้างไม่มีมูล เพื่อแลกผลประโยชน์อื่นใดอันมิชอบ
นายจตุพร อธิบายต่อว่า เสียงดังเอิกเกริกนั้น นายไพศาล พืชมงคล โพสต์เปิดเผยว่า มี “ป.ป.ช.ชุดใหญ่บางคน” พยายามทำตัวเป็น “บ่าวรับใช้อำนาจ” แล้วกดดันคณะกรรมการไต่สวนกรณีชั้น 14 ให้ยุติการสอบสวนและให้อ้างว่ากรณีนี้ไม่มีมูลความผิด อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการไต่สวนได้ตรวจสอบเป็นที่ยุติแล้ว โดยมีมติเอกฉันท์ชี้มูลความผิดและส่งให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่พิจารณาในการประชุมสัปดาห์หน้า พร้อมเสนอให้ดำเนินคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีทั้งระดับรัฐมนตรีและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคน แต่มี “ป.ป.ช.ชุดใหญ่บางคน” ทำตัวเป็น “ไอ้โม่ง” พยายามกดดันอย่างหนัก ให้ผลการตรวจสอบชั้น 14 ไม่มีมูลความผิด
นายจตุพร กล่าวว่า “ไอ้โม่ง ป.ป.ช.คนนี้” พยายามเอา “ฝ่ามือปิดแผ่นฟ้า” แต่การมีอำนาจไม่ได้ติดตัวจนตาย ดังนั้น ให้คิดถึงเมื่อไปติดคุกตอนแก่ เพราะช่วงที่ตนอยู่ในคุก เห็นข้าราชการหลายหน่วยงานติดคุกตอนอายุกว่า 80 ปี บางคนถึงกับทุพพลภาพ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อาบน้ำและปลดทุกข์เองไม่ได้ มีแต่ผู้ต้องขังด้วยกันเป็นผู้ช่วยคอยดูแลกัน ดังนั้น อยากเจอแบบนี้ในบั้นปลายชีวิตตอนแก่ๆ ด้วยหรือ?
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า เมื่อได้เป็นใหญ่ในองค์กร ทำหน้าที่รับใช้แผ่นดิน รับใช้ทุกสถาบันหลักของชาติและประชาชนชน ขอให้ทำในสื่งที่ถูกต้อง เพราะผลประโยชน์อื่นใด เมื่ออยู่ในคุกในปัจจุบันใช้เงินได้วันละ 500 บาทเท่านั้น นอนกระเบื้อง 3 แผ่นกว้างเท่าโรงศพ มีผ้า 3 ผืนใช้ห่ม หนุนหัวและปูพื้นนอน ตอนอาบน้ำมีนักโทษยืนรอคิวเรียงกันเป็นตับ
“ชีวิตอยู่ในคุก แม้มีเงินก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีรถก็ขับในเรือนจำไม่ได้ และคงไม่โชคดีได้อยู่ชั้น 14 เหมือนบางคน ซึ่งคงเป็นเพียงหนึ่งเดียวในจำนวน 70 ล้านคนของประเทศไทย ดังนั้นอย่าไปทำให้เสียตัวตอนแก่เลย โดยมีเสียงอื้ออึงกันหมดว่าเป็นใคร”นายจตุพร ระบุ
นายจตุพร ยังให้สติว่า การทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ถ้ากลับไปบ้าน มองหน้าลูกก็ขอให้อายเสียบ้าง เพราะถ้าสถานการณ์เปลี่ยน ผลประโยชน์อื่นใดที่ได้มาคงไม่ได้ใช้ ดังนั้นหวังว่าจะคิดกันได้ แก่แล้วเข้าวัดฟังธรรมบ้าง และคิดว่าตัวเองมาทำหน้าที่ ป.ป.ช. จะรับใช้แผ่นดินหรือต้องการจะรับใช้ใคร เมื่อได้รับเงินเดือนและมีพระบรมโปรดเกล้าฯให้ดำรงตำแหน่งก็ควรมีสำนึก
“นายไพศาล (พืขมงคล) ระบุชื่อย่อ ป.ป.ช. ที่คอยรับใช้นักการเมือง เพื่อทำหน้าที่ดึงเรื่อง ยื้อเวลา และไม่ให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ชี้มูลความผิด อย่างไรก็ตาม เมื่อเปิดชื่อย่อขนาดนั้น คงไม่ใช้ “ไอ้โม่ง” แล้ว เพราะคนรู้หน้ากันหมด ไอ้โม่งใน ป.ป.ช.ชุดใหญ่คนนี้ ให้ไปดูการทำหน้าที่ของอดีตทหารและตำรวจระดับยศ “พลเอก” ส่วนข้าราชการเป็นถึงปลัดกระทรวง และนักการเมืองชั้นผู้ใหญ่ระดับรัฐมนตรี เมื่อถึงถูกเล่นงานและต้องติดคุก ไม่มีใครช่วยใครได้ แม้แต่คนที่ตัวเองรับใช้คอยทำงานให้ ยังไม่มาดูดำดูดีตอนติดคุกเลย คงมีแค่ครอบครัวเท่านั้นที่จะดูแลกัน นี่คือโลกความจริงของคนทำหน้าที่ไม่ถูกต้อง ที่สำคัญที่สุด สัจธรรมชีวิตถัดจากนั้นไป จะพังพินาศ และเมื่อสังขารไม่ให้ เวลาไปติดคุก บางคนนอนพะงาบๆ ในโรงพยาบาล บางคนพ้นโทษแล้วไม่มีใครมารับ และเกิดอาการไม่รู้ตัว สิ่งนี้เห็นกันทั้งนั้นกับชีวิตคนคุกวัยแก่ๆ”นายจตุพร กล่าว
นายจตุพร ยังเตือนว่า การทำหน้าที่ให้อยู่ในกรอบของสัจธรรมโดยคิดถึงวันหน้า ถ้าคิดแค่วันนี้ ดูเหมือนน่าจะใช่ ว่ามีอำนาจยิ่งใหญ่จริง เห็นอะไรก็โลกสวยกันไปหมด แต่ในวันที่โลกไม่สวย แล้วเข้าไปอยู่ในคุก วันนั้นจะรู้เลยว่า ไม่น่าเลย รู้อย่างนี้จะไม่ทำ ซึ่งเป็นสัจธรรมของชีวิต
กรณีอัลไพน์เชื่อ “นายกฯอิ๊งค์” ซื้อที่ดิน “ธรณีสงฆ์” รอดยาก แนะให้คืนวัด แล้วขอเช่าต่อ
ส่วนกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ นายจตุพร กล่าวว่า เรื่องนี้ผลตรวจสอบน่าจะยุติโดยเร็ว เพราะข้อมูลมีพร้อมหมดสามารถส่ง ป.ป.ช.ชุดใหญ่วินิจฉัยได้ จึงไม่ต้องไต่สวนอะไรเพิ่มอีก ยกเว้นจะ “รำวง” ช่วยกัน ถึงที่สุดแล้ว ข้อเท็จจริงในวันนี้ ยืนยันเป็นธรณีสงฆ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เรื่องราวธรณีสงฆ์ ในเดือนพ.ย. 2512 “ยายเนื่อม” ผู้ใจบุญได้บริจาคที่ดินประมาณ 900 ไร่ ให้วัดธรรมิการามวรวิหาร จ.ประจวบคีรีขันธ์ หวังให้เป็นธรณีสงฆ์ จากนั้นมีขบวนการเล่นแร่แปรธาตุ อ้างวัดไม่รับที่ดิน จึงโอนเปลี่ยนให้ “มูลนิธิมหามกุฎราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์” เป็นผู้จัดการมรดก แล้วมีขบวนการนำไปซื้อ-ขายจนเกิดเป็นคดีความ โดยคนที่เกี่ยวข้องรอดคดีมาได้ เนื่องขาดอายุความ ไม่ใช่รอดด้วยข้อเท็จจริง
นายจตุพร กล่าวว่า “ธรณีสงฆ์” ไม่สามารถซื้อ-ขายได้ กรมที่ดินจึงมีคำสั่งเพิกถอนการซื้อ-ขายครั้งนั้น ต่อมา “รักษาการปลัดมหาดไทย” มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของกรมที่ดิน ป.ป.ช.จึงฟ้อง “รักษาการปลัดมหาดไทย” ว่า ไม่ปฏิบัติตามคำวินิจฉัยของกฤษฎีกาที่ประชุมใหญ่ ซึ่งวินิจฉัย “ที่ดินยายเนื่อมบริจาคเป็นธรณีสงฆ์” จากนั้นจึงเป็นคดีความในศาลอาญา สู้กันถึง 3 ศาล จนศาลฎีกาไม่รับคำร้องฎีกา แล้ว “รักษาการปลัดมหาดไทย” ต้องรับโทษติดคุกและพ้นจากตำแหน่งทางการเมือง หลังจากนั้น ป.ป.ช. ให้ที่ดินยายเนื่อมบริจาคเป็นธรณีสงฆ์ตามเดิมมาตั้งแต่ปี 2512 กระทั่งถึงปัจจุบัน
“เมื่อนายกฯ (อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร) ถือสิทธิ์ในที่ดินผืนนี้เป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์ แล้วได้โอนสิทธ์ที่ถืออยู่ 30% ให้แม่ ซึ่งจะเป็นปัญหา เพราะเป็นธรณีสงฆ์มาตั้งแต่ต้นคือ ปี 2512 จึงซื้อ-ขายเปลี่ยนเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนไม่ได้”นายจตุพร กล่าวย้ำ
สำหรับที่ดินเขากระโดง นายจตุพร กล่าวว่า กรณีปัญหานั้น ศาลสั่งให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์์เพียง 35 รายคดี ซึ่งถูกการรถไฟแห่งประเทศไทยฟ้อง ส่วนที่เหลือยังไม่มีการดำเนินคดีและฟ้องศาล จึงไม่มีคำพิพากษา ดังนั้นสถานะจึงแตกต่างกันกับกรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ แต่ในทางการเมือง “ที่ดินเขากระโดง” ทำให้พรรคการเมืองมองหน้ากันไม่สนิทใจ เพราะ “อัลไพน์” ได้ข้อเท็จจริงจบสิ้นแล้วว่า ที่ดินบริจาคเป็นธรณีสงฆ์ ส่วน “เขากระโดง” ยังมีช่องว่างให้ไปต่อได้ เพราะนำไปเทียบเคียงกับหลายกรณีที่เกิดขึ้น จากมีการฟ้องคดีเป็นรายๆ และได้ยึดคืนที่ดินให้รัฐในที่อื่นๆ
นายจตุพร กล่าวอีกว่า เมื่อนายกฯอุ๊งอิ๊ง ถือหุ้นในสนามกอล์ฟอัลไพน์ จึงเป็นความผิดที่จบสิ้นไปแล้ว โดยมีข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า “ที่ดิน” ไม่สามารถซื้อ-ขายมาตั้งแต่ต้นที่ “ยายเนื่อม” บริจาค และคำสั่งกระทรวงมหาดไทยในปัจจุบัน ให้ที่ดินกลับมาเป็นธรณีสงฆ์เหมือนเดิม คือตั้งแต่ปี 2512
“ความจริงธรณีสงฆ์ให้เช่าได้ในราคาไม่แพง แต่ซื้อ-ขายไม่ได้ กรณีที่ดินยายเนื่อมนั้น ถ้าวัดนำมาเก็บค่าเช่า สามารถมีรายได้มาดูแลวัดได้ แต่ในทางการเมืองนั้น ที่ดินตั้งแต่ต้น ซื้อ-ขายเพียง 100 กว่าล้าน แล้วเพิ่มมูลค่าเป็น 500 กว่าล้าน และปัจจุบันมีมูลค่าพุ่งทะลุกว่า 5,000 ล้าน”นายจตุพร กล่าวและว่า ถ้าผู้ครอบครองที่ดินมีเจตนาบริสุทธิกับวัดแล้ว ควรคืนที่ดินให้วัด แล้วทำสัญญาเช่ามาตั้งแต่ต้นก็ได้ โดยเสียค่าเช่าให้วัดไป ก็ไม่มีความผิด แต่ความต้องการกรรมสิทธิ์ จึงทำให้ยุ่งยาก เพราะไม่สามารถนำธรณีสงฆ์ในที่อื่นๆ นำมาเทียบเคียงการซื้อ-ขายกันได้ ซึ่งไม่มีเลย เพราะธรณีสงฆ์ซื้อขายกันไม่ได้
“ในข้อเท็จจริงแล้ว ธรณีสงฆ์กฎหมายไม่อนุญาตให้ซื้อ-ขายกัน และเจตนารมณ์ “ยายเนื่อม” ชัดเจนว่า บริจาคให้วัด อุทิศให้พระพุทธศาสนาเพื่อตัวเองจะไปสวรรค์ตามความเชื่อการทำบุญใหญ่ ซึ่งไม่ได้บริจาคให้ทำสนามกอล์ฟ แต่เจตนาของ “ยายเนื่อม” ถูกแปลงมาเป็นสนามกอล์ฟและทำบ้านจัดสรรขาย จึงเป็นความผิดมาตั้งแรกที่ซื้อ-ขายกัน ซึ่งเป็นเรื่องไม่ควรกระทำ ดังนั้นควรคืนให้วัด”นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย