วันอาทิตย์, มกราคม 5, 2025
หน้าแรกHighlight“ตู่”ปูด“พีระพันธ์ุ”มีแววถูกเขี่ยพ้น“ครม.” ปลด“บิ๊กอ้วน”ดึงทหารยศไม่สูงมาเสียบ
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“ตู่”ปูด“พีระพันธ์ุ”มีแววถูกเขี่ยพ้น“ครม.” ปลด“บิ๊กอ้วน”ดึงทหารยศไม่สูงมาเสียบ

“จตุพร” คาดการเมืองปี 68 เข้มข้น ปูด “พีระพันธุ์” มีแววถูกปรับออกจากครม. พร้อมปลดระวาง “ภูมิธรรม” เอาทหารยศไม่สูงมาเสียบแทน แนะทางรอด 12 เจ้าหน้าที่ถูกสอบคดีชั้น 14 แค่พูดความจริง แล้วกันตัวเองเป็นพยาน เตือนสละชีวิตเพื่อคนไม่ดูดำดูดีใครไม่คุ้มค่า

นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุว่า นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรมว.พลังงาน จากพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) มีแววจะถูกปรับออกจาก ครม. เพราะเป็นรัฐมนตรีต้องการล้างบาง “ทุนผูกขาด” น้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า ที่มีสัมพันธ์แน่นหนากับรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แม้ขณะนี้นายพีระพันธุ์ มีภูมิต้านทานจากสังคม เพราะความนิยมเริ่มขยับเพิ่ม แต่การจัดการต้องเร็วมากขึ้นตามด้วย ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นพรรคมีประสบการณ์และรู้เท่าทันผู้นำพรรคเพื่อไทย จึงเป็นเกราะกำบังให้อยู่ร่วมรัฐบาลไปได้เรื่อยๆ

“คงมีแต่ปาฏิหาริย์เท่านั้นที่จะทำให้พีระพันธุ์รอดได้ เพราะ รทสช.เป็นพรรคอกแตก เหมือนพลังประชารัฐ (พปชร.) จึงจัดการได้ง่าย และเชื่อว่าปฏิบัติการเชือดครั้งนี้ คงเกิดขึ้นอีกไม่นาน โดยพรรคประชาชนจะถูกดึงมาเสริมร่วมรัฐบาล”นายจตุพร กล่าวและว่า นอกจากนี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯและรมว.กลาโหม มีโอกาสถูกปลดระวางเช่นกัน ซึ่งข่าววงในระบุ จะมี “ทหารยศไม่สูง” มาเสียบแทน ดังนั้นการเมืองจึงเป็นความอำมหิต ตัดขาดพี่-น้อง ไม่เหลือพวกพ้อง และสิ้นความทรงจำในอดีต อย่างไรก็ตาม สูตรการปรับ ครม. ขณะนี้ยังไม่นิ่ง แต่ข่าวปล่อยสะท้อนถึงความง่อนแง่นของพรรครัฐบาล

นายจตุพร เชื่อว่า สถานการณ์ตั้งแต่ต้นปี 2568 การเมืองเริ่มเปราะบางจากกรณีไต่สวนชั้น 14 โดยจากวันนี้อีก 13 วัน แพทย์ผู้เกี่ยวข้องการรักษานายทักษิณ ชินวัตร ชั้น 14 รพ.ตำรวจ และรพ.ราชทัณฑ์ ต้องส่งรายงานการรักษาให้แพทยสภาตรวจสอบภายในวันที่ 15 ม.ค.นี้ ถัดเจากนั้น คาดว่าไม่เกิน 45 วันจะรู้ผลสอบจริยธรรมแพทย์ ดังนั้น ประมาณต้นมีนาคมเป็นอย่างช้า คงรู้ผลการตรวจสอบ

ส่วนการตรวจสอบของ ป.ป.ช. ที่ขยันทำหน้าที่ตั้งแต่ต้นปีอย่างผิดสังเกต โดยปีใหม่แค่สองวัน ก็เปิดเผยผลสอบ 4 นักการเมืองถูกยื่นฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ราวกับเป็นการแต่งตัว เพื่อขยับจัดการ 12 ผู้เกี่ยวข้องกรณีเอื้อชั้น 14 รพ.ตำรวจและกรมราชทัณฑ์จะถูกฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตต่อหน้าที่

“แม้นัการเมืองบางคนปัดความรับผิดชอบ อ้างไม่มีรายชื่อถูกสอบสวน เพราะคิดว่าเป็นการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ แต่ผู้เกี่ยวข้องทั้ง 12 คนนั้น ต้องรู้สถานะหมาหัวเน่า หรือไม่มีคนร่วมเป็นร่วมตายด้วย”นายจตุพร กล่าวและว่า ตนเห็นข้าราชการกระทรวงพาณิชย์และกรมต่างๆ ในคุก ทั้งที่คิดเพียงช่วยทำงานให้ผู้มีอำนาจ คงไม่มีอำนาจใดมาจัดการได้ เพราะเชื่อได้รับการคุ้มครอง แต่สิ่งสำคัญ พวกเขารู้จักธาตุแท้นักการเมืองน้อยไป ซึ่งมักคิดทุกเรื่องเป็นตอนๆ และไม่มีภาระผูกพันธ์ใดๆ ทั้งสิ้น

“ผู้เกี่ยวข้องทั้ง 12 คนที่ถูกสอบสวน ไม่ต้องทำอะไรเลย เมื่อยังมีเวลาเหลืออยู่ แค่กันตัวเองไว้เป็นพยานเท่านั้น วันนี้คุณต้องรู้ว่า เลือดสุพรรณมีอยู่จริงหรือไม่ มีใครยืนอยู่ข้างคุณบ้าง ส่วนแพทย์ถ้าถูกลงโทษ ยึดใบประกอบโรคศิลปะ มันไม่แค่เป็นหมอไม่ได้ แต่จะติดคุกเอาด้วย ดังนั้นจึงไม่มีอะไรช่วยได้นอกจากพูดความจริงอย่างเดียว”นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ข้าราชการทั้ง 12 คน ควรไตร่ตรองว่า คุ้มกันหรือไม่ ที่เอาชีวิตทั้งชีวิตไปรับใช้คนนั้น แล้วกลับบ้านยังมองหน้าลูก-เมียได้หรือไม่ ถ้าไปรับใช้คนดีเลิศ ทำงานเพื่อบ้านเมืองมาตลอด การสละชีพรักษาคนดีไว้ย่อมพึงกระทำ แต่คุณมองเห็นว่า เขาเป็นคนดีขนาดนั้นหรือเปล่า? สิ่งที่สำคัญคือ “เขาคนนั้น” ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาลงโทษติดคุก และตามพระบรมราชโองการลดโทษ แล้วยังท้าทายกับมโนธรรมสำนึกของกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น คาดว่าถัดจากนี้ประมาณหนึ่งสัปดาห์ เมื่อ ป.ป.ช.เริ่มไต่สวน ความจริงจะปรากฎให้รับรู้กันเป็นระยะๆ ทั้งนี้ในการไต่สวนของคณะอนุกรรมการฯ ป.ป.ช. หากไม่มีข้อมูลชัดเจน ย่อมทำสำนวนการสอบสวนไม่แน่นหนา อาจถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ปัดทิ้ง สั่งยุติการสอบสวนกรณีชั้น 14 แล้ว เรื่องนี้คงสูญหายไปเลย

“ความเป็นจริงเท่านั้น ที่จะช่วย 12 ผู้เกียวข้องได้ หากยังคิดไม่ได้ ให้ไปถามนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ที่เพิ่งออกจากคุกว่า ช่วงติดคุก มีใครไปดูแลบ้าง นี่คือโลกความเป็นจริง และรองนายกฯหรือรัฐมนตรีอีกหลายคนที่ติดคุก ล้วนไม่ได้มีใครมาดูดำดูดีกันทั้งนั้น แล้วคุณเป็นใคร ผมแนะนำแค่ให้พูดตามความจริงและกันตัวเองเป็นพยานจึงจะช่วยได้”นายจตุพร กล่าวย้ำ

ส่วนร่างกฎหมายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ นายจตุพร ย้อนถามว่า คนไทยต้องการให้ประเทศเต็มไปด้วยวงจรธุรกิจสีเทาหรือไม่ อีกอย่างจีนล้างบางการทุจริต และเวียดนามสั่งประหารผู้บริหารรัฐวิสาหกิจระดับสูงที่เกี่บวข้องกับการทุจริต แสดงถึงผู้นำต้องการพาบ้านเมืองให้รอด สำหรับกรณีจะตั้งบ่อนกาสิโนในไทยนั้น แม้เป็นของร้อนมาเร็ว แต่ฉิบหายหนัก ถ้าบ่อนเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ทำไมจีนสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ใหญ่โต จึงไม่มีบ่อนเลย ส่วนเกาะมาเก๊าพยายามลดบ่อนลง เพราะเขาเชื่อว่าการสร้างประเทศ ต้องมาจากเงินที่พึงจะได้ ไม่ใช่หาเงินจากการพนันมาสร้างบ้านเมือง

“คนที่ตัดสินใจให้มีบ่อน ทำไม่ไม่คิดส่งเสริมอาชีพ หรือคิดทางด้านการศึกษา แล้วทำไมต้องการทำบ่อนด้วย เมื่อบ่อนไม่ต่างกับเป็นทาสการพนัน คนคิดจะเป็นรัฐบุรษ ต้องคิดถึงประเทศและลูกหลานในวันข้างหน้า ไม่ให้อยู่ภายใต้บ้านเมืองเต็มไปด้วยบ่อนการพนัน ที่ทำให้เกิดความฉิบหาย ทั้งๆ ที่ประเทศข้างเคียงคิดเลิกบ่อนกันหมดแล้ว”นายจตุพร กล่าวและว่า การคิดเอาประเทศมาทำบ่อนกันขนาดนี้ คนที่รับผิดชอบบ้านเมือง ทนกันได้อย่างไร เมื่อประเทศเต็มไปด้วยบ่อน สิ่งที่ลึกไปกว่านั้นคือ การฟอกเงินเทา เกิดพนันออนไลน์มอมเมาคนไทยให้เป็นทาสการพนัน

ส่วน MOU 44 หากไม่คิดเรื่องผลประโยชน์แล้ว นายทักษิณต้องไม่พูดลอยๆ ว่า แบ่งกัน 50:50 โดยไม่เน้นถึงการปักปันเขตแดนก่อน ดังนั้นการเร่งแบ่งผลประโยชน์สะท้อนถึงพรรครัฐบาลคิดอะไรกับประเทศ จนทำให้ไม่ไว้วางใจทั้งการทำบ่อน อีกทั้งสงสัยโครงการคอนโดและแลนบริดจ์ให้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี และผลักดันเรื่องขนส่งทางรางมอบที่ดินสองข้างทางเป็นของเอกชน สิ่งเหล่านี้สังคมกังขามากขึ้นเรื่อยๆ

“ในปีนี้เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยขยับในแต่ละเรื่อง ไม่น่าไว้วางใจทั้งนั้น ยิ่งเร่งการเมืองร้อนระอุขึ้น ดังนั้นต้องติดตามกับโครงการที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อนเหล่านี้ สิ่งสำคัญประชาชนต้องแข็งแรง ไม่นิ่งเฉยให้เกิดปัญหาขึ้น เพราะบ้านเมืองจะฉิบหาย”นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img