“หมอเปรม” ค้านร่างแก้รธน.”ประชาชน” ยันสว.ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยแก้หมวด 1-2 หวั่นสร้างความแตกแยก แนะเร่งแก้ปัญหาปากท้องให้ประชาชนดีกว่า ห่วงรีบร้อนมักส่งผลเสีย ขออย่ายึดไม่ทันเลือกตั้ง 70 เหตุยังไม่รู้รัฐบาลจะอยู่รอดปี 68 หรือไม่
เมื่อวันที่ 6 ม.ค.68 ที่รัฐสภา นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. แถลงถึงจุดยืนในการคัดค้านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) ของพรรคประชาชนการออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบในวาระสาม และมาตรา 256 (8) ว่าไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขในมาตรานี้ เพราะถือเป็นการตัดทอนอํานาจของสว.ลงอย่างชัดเจน ขัดต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เรื่องอํานาจหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา ที่บัญญัติให้สว.มีหน้าที่และอํานาจกลั่นกรองกฎหมายที่ผ่านจากสภาผู้แทนราษฎร อาจเป็นชนวนสร้างความขัดแย้งขึ้นระหว่างสองสภา และที่สำคัญรัฐธรรมนูญมาตรา 156 (15) เดิมได้บัญญัติ ชัดเจนให้การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามมาตรา 256 ต้องกระทําร่วมกันของรัฐสภา
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยเพราะต้องไปแก้ไขเพิ่มเติมหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งทางต่างๆ ตามรัฐธรมนูญ เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจศาล หรือองค์กรอิสระ ดังนั้นจึงจะต้องไปแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งบัญญัติเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เห็นควรว่าไม่ควรไปแตะต้องเลย เพราะจะสร้างความแตกแยกขึ้นในชาติบ้านเมือง
“อยากให้เห็นความสำคัญของเรื่องปากท้องพี่น้องประชาชนก่อนที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเท่าที่ฟังเสียงส่วนใหญ่จากการเปิดประชุมสว. วันแรกของปี 2568 สว.ส่วนใหญ่เห็นตรงกันที่จะไม่เห็นด้วยให้แตะหมวด 1หมวด 2 ไม่ว่าจะถูกเสนอโดยพรรคการเมืองใดก็ตาม ถ้าพรรคเพื่อไทยเสนอแบบเดียวกับพรรคประชาชนผมก็ไม่เห็นด้วย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนเสนอ ผมอยากจะฝากว่าการกระทำอะไรที่รีบร้อนมักส่งผลเสีย อย่างก่อนปีใหม่ที่บอกว่าทำบาปมา 1 ปีแล้วสวดมนต์ข้ามปี 1 คืนต้องมาขอโทษแล้วเกิดประโยชน์อะไรต่อบ้านเมือง ผมเห็นใจสมาชิกรัฐสภาที่อยากแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ตรงกับความต้องการที่ตัวเองมีจุดยืน แต่ก็ต้องฟังจุดยืนของทุกส่วน เพราะสมาชิกวุฒิสภาก็เป็นสมาชิกรัฐสภาเช่นกัน” นพ.เปรมศักดิ์ กล่าว
นพ.เปรมศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับประชามติชั้นเดียวไม่ใช่ 2 ชั้นเพราะ เศรษฐกิจมันแย่อยู่แล้ว การทำประชามติ 1 ครั้ง ต้องเสียเงิน 2 พันล้านบาท จึงไม่อยากให้เอาคำพูดที่ว่าจะไม่ทันการเลือกตั้งปี 2570 มาเป็นหลัก เพราะเห็นว่าสถานการณ์ตอนนี้รัฐบาลจะอยู่รอดตลอดปี 2568 หรือไม่ยังไม่ทราบ