วันศุกร์, มกราคม 24, 2025
หน้าแรกHighlight“นายกฯอิ๊งค์”ร่วมวงเสวนา“Soft Power” ยก“เสน่ห์แบบไทยเอาชนะใจคนทั่วโลก”
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“นายกฯอิ๊งค์”ร่วมวงเสวนา“Soft Power” ยก“เสน่ห์แบบไทยเอาชนะใจคนทั่วโลก”

นายกฯ ร่วมเสวนา Betazone “Not Losing Sight of Soft Power” เผย เสน่ห์ไทยชนะใจ คนทั่วโลก ช่วยเพิ่ม “โอกาส” ประเทศไทยและปีนี้ ปี 2568 จะเป็นปีที่ดีสำหรับประเทศไทยอย่างแน่นอน

เมื่อวันที่ 24 ม.ค.68 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ม.ค.เวลา 10.30น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับเวลาประเทศไทยเวลาประมาณ 16:30น. ณ ห้อง Fusion ศูนย์ประชุม Congress Center นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการเสวนา Betazone หัวข้อ “Not Losing Sight of Soft Power” (ซอฟต์พาวเวอร์ อำนาจที่ไม่ควรมองข้าม) โดยมีบุคคลสำคัญร่วมรับฟังด้วย ได้แก่ H.H. Sheikha Latifa  Chairwoman of  Dubai Culture and Arts Authority ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะผู้แทน UAE ของ WEF  และนาง Diane von Fürstenberg นักออกแบบชื่อดัง ให้ความสนใจเข้าร่วมรับฟังด้วย

นางสาว Yana Peel ผู้ดำเนินงานเสวนากล่าวต้อนรับนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับสตรีที่สร้างประวัติศาสตร์โดยการเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงที่อายุน้อยที่สุดของประเทศไทย และยังได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งใน 100 สตรีผู้ทรงอิทธิพลของนิตยสาร Time อีกด้วย โดยวันนี้จะพูดคุยกันถึงประเด็น Soft Power ที่ไทยสามารถเอาชนะใจและความคิดของผู้คนได้อย่างแท้จริง และกำลังก้าวไปข้างหน้า พร้อมยกตัวอย่างความสำเร็จของไทยในการใช้ Soft Power ที่ครอบคลุมตั้งแต่ด้านอาหาร ภาพยนตร์ การท่องเที่ยว ไปจนถึงสุขภาพ โดยเน้นถึงศิลปินระดับโลกอย่าง ฤกษ์ฤทธิ์ ตีระวนิช ศิลปินร่วมสมัยระดับโลกที่สร้างผลงานในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำ  อภิชาติพงศ์ วีระเศรษฐกุล ผู้กำกับภาพยนตร์ที่ได้รับการยอมรับสากล รวมถึง ลิซ่า (BLACKPINK) ศิลปินผู้สร้างปรากฏการณ์การเต้นและเพลงป๊อประดับโลก

ทั้งนี้ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี สรุปสาระสำคัญ ดังนี้

นายกรัฐมนตรีรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมพูดคุยเสวนาเกี่ยวกับ Soft Power หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกในปัจจุบัน ประเทศไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ร่ำรวย และมีจุดแข็งที่ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก เช่น soft power ด้านอาหารรัฐบาลตระหนักถึงศักยภาพและจุดแข็งที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ จึงได้ตั้งกำหนด 13 เสาอุตสาหกรรม – ท่องเที่ยว อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น เทศกาล กีฬา ดนตรี ศิลปะ การออกแบบ เกมส์ วรรณกรรม (literature) สุขภาพ และศิลปะการแสดง – เพื่อขับเคลื่อนและยกระดับศักยภาพเหล่านี้ และสร้างมูลค่าให้กับประเทศมากขึ้น

นายกรัฐมนตรีย้ำเสมอว่า รัฐบาลถือเป็นผู้สนับสนุน (Facilitator) ที่อำนวยความสะดวก และเสริมพลังให้ภาคประชาชนและภาคเอกชนริเริ่มและขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจ สร้างความร่วมมือและโอกาสใหม่ ๆ จากอุตสาหกรรมดังกล่าว โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเสื้อผ้าที่สวมใส่ ที่เป็นอีกสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ จากผ้าฝ้ายจากจังหวัดหนองบัวลำภู อีกตัวอย่างสำคัญของงานหัตถกรรมท้องถิ่นที่แสดงให้เห็นถึงการเลือกใช้ผ้าพื้นเมืองที่ไม่เพียงแต่เป็นการแต่งกาย แต่ยังเป็นการประกาศเกียรติภูมิของชุมชนไทย

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม Soft Power ในแต่ละด้านที่สำคัญ ดังนี้

ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงเอกลักษณ์และเสน่ห์ของคนไทย ที่มีทั้งความเป็นมิตร สุภาพ และเป็นกันเองที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีมากกว่าคำว่า the land of smile แล้ว และกำลังพัฒนาสู่ประสบการณ์ที่น่าประทับใจและมีคุณค่าอย่างแท้จริง โดยเฉพาะภายหลังจากการระบาดของสถานการณ์โควิด -19 ที่ทำให้อุตสาหกรรมท่องเที่ยวหยุดชะงัก แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวได้กลับมาอีกครั้งและสร้างรายได้ถึง 20% ของ GDP โดยไทยมีแหล่งท่องเที่ยวที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค แต่ละพื้นที่มีเสน่ห์และจุดดึงดูดเป็นของตนเอง เช่น กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางชีวิตเมืองสมัยใหม่ ชายหาดภูเก็ต เป็นสวรรค์แห่งการพักผ่อน และเชียงใหม่ เป็นประตูสู่วัฒนธรรมล้านนา

ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ไทยได้พัฒนาอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร ทั้งการนวดแผนไทย การแพทย์เชิงบำบัดเพื่อรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อ ศูนย์สุขภาพระดับมาตรฐานโลก ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการพักฟื้นและเกษียณ

มวยไทย ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งการต่อสู้และวัฒนธรรม โดยปัจจุบันไทยมีค่ายมวยกว่า 40,000 ยิมทั่วโลก 6,000 ยิมในลอนดอน ซึ่งรัฐบาลพร้อมสนับสนุนและตั้งใจที่จะพัฒนา โดยเฉพาะแนวทางในการออกใบรับรองมาตรฐานมวยไทย เพื่อถ่ายทอดมวยไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก

อาหาร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ต่อยอดจากด้านการท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวเดินทางมาถึง จะได้สัมผัสกับอาหารไทยที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค เกิดการสร้างประสบการณ์ผ่านอาหารประเภทต่าง ๆ และมีการเดินทางอย่างต่อเนื่องในหลายแห่งของประเทศ ซึ่งอาหารไทยที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนทั่วโลกอย่างต้มยำกุ้งและข้าวเหนียวมะม่วง ซึ่งเป็นเมนูที่มีชื่อเสียง โดยต้มยำกุ้งยังได้ขึ้นทะเบียนในบัญชีรายการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติจากองค์การยูเนสโกอีกด้วย นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นเสมือนครัวของโลกที่มีอาหารมากมายและอาหารเหล่านี้ไม่เฉพาะมีรสชาติดีแต่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และสมุนไพรไทยบางอย่างก็สามารถรักษาโรคได้ด้วย

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังมีชื่อเสียงในเรื่องการจัดงานเทศกาล โดยเฉพาะเทศกาลสงกรานต์ในช่วงเดือนเมษายนของทุกปี ซึ่งรัฐบาลไทยมีแผนที่จะเฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์ตลอดทั้งเดือนเมษายน ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองไทยช่วงเดือนเมษายนได้ตลอดทั้งเดือน รวมถึงยังมีเทศกาลอีกมากมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกจะสามารถเข้ามาท่องเที่ยวได้ทั้งตลอดปี

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล ทั้งทางด้านการส่งเสริมให้มีกองถ่ายทำจากต่างประเทศเข้ามาถ่ายทำหนังภาพยนตร์ หรือซีรีส์ในประเทศไทย โดยรัฐบาลจะมีการออก cash rebate ซึ่งเป็นสิทธิประโยชน์เป็นเงินคืนให้กับบริษัทถ่ายทำหนังเหล่านั้นด้วย

นายกรัฐมนตรีมองว่าคนไทยมีศักยภาพหากมีประตูที่เปิดโอกาสให้พวกเขาได้แสดงความสามารถผู้คนเหล่านั้นก็จะสามารถช่วยขับเคลื่อนประเทศได้ รัฐบาลมี “นโยบายหนึ่งครอบครัวหนึ่งซอฟต์พาวเวอร์” ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนไทยที่มีความสามารถได้มีช่องทางและเครื่องมือในการฝึกฝนพัฒนาทักษะ เพื่อนำไปประกอบอาชีพ นอกจากนี้รัฐบาลยังมีความตั้งใจที่จะเพิ่มทักษะผู้คนในประเทศไทยกว่า 20 ล้านคน โดยไม่ได้จำกัดเพศหรืออายุ

ทั้งนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าในการผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยผ่านการเปิดอบรมทั้งสิ้น 13 หลักสูตร/อุตสาหกรรมหลัก ซึ่งรัฐบาลมีกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ดังกล่าว ผ่านความร่วมมือจากทุกกระทรวง โดยแต่ละกระทรวงจะมีการขับเคลื่อนความร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ด้วย รวมทั้งจะมีแผนการเพื่อพัฒนาระบบนิเวศ เช่น การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย การให้การดำเนินมาตรการด้านต่างๆ เพื่อพัฒนาทักษะของประชาชนไทย

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า soft power ทั้ง 13 อุตสาหกรรมหลักนี้ – ท่องเที่ยว อาหาร ภาพยนตร์ แฟชั่น เทศกาล กีฬา ดนตรี ศิลปะ การออกแบบ เกมส์ วรรณกรรม (literature) สุขภาพ และศิลปะการแสดง เป็นสิ่งที่รัฐบาลมุ่งเดินหน้าอย่างเต็มที่ และตลอดเดือนเมษายนจะจัดเทศกาลมหาสงกรานต์ เพื่อให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ และหลากหลาย

นายกรัฐมนตรีได้ให้นิยามและขยายความ “Soft Power ไทย” ว่าเป็นความสามารถในการดึงดูด หรือมีอิทธิพลต่อผู้อื่น และตนเองมองว่า Soft Power เป็นเสน่ห์ภายในของไทย เป็นเครื่องมือของประเทศ— ที่สามารถเชื่อมโยงและเอาชนะใจคน โดยนายกรัฐมนตรียังได้นำเสนอ “ก๋วยเตี๋ยวเรือ” ว่าเป็นอาหารที่ชื่นชอบมากที่สุด

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า รัฐบาลได้ประกาศไว้ว่า “2568 เป็นปีแห่งโอกาสของประเทศไทย” และแน่นอนว่าในวันนี้มาเพื่อยืนยันด้วยตนเองว่า ประเทศไทยมี soft power ที่ดีและมีศักยภาพหลากหลายด้าน และคนไทยก็พร้อมให้ต้อนรับทุกคน สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับประเทศ และปีนี้ ปี 2568 จะเป็นปีที่ดีสำหรับประเทศไทยอย่างแน่นอน

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img