สว. ประสานเสียงถกญัตติด่วนแก้ปัญหา “ฝุ่น PM 2.5” ส่งให้ รบ. ดำเนินการ “นันทนา” ฉะ รบ.ไร้เดียงสา ผ่านมา 2 ปี ไม่มีแผนจัดการสภาพอากาศ ไหนบอกฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ เหน็บไม่ทราบ ชาตินี้หรือชาติหน้า! ซัดมาตรการตื้นเขิน-ฉาบฉวย-ปลายเหตุ เปรียบเหมือนคนเป็นมะเร็ง ให้นั่งสวดมนต์ลืมความเจ็บปวด สุดท้ายตาย ด้าน “สว.เจ้าของโรงแรม” โอดเป็นผู้ประสบภัย เพราะฝุ่นทำลายการท่องเที่ยว จวกรถเมล์ใน กทม.ทั้ง “ส้ม-แดง” มีแต่ควันดำ ขนาดนั่งรถส่วนตัว แอร์เย็นๆ ยังรู้สึกเหม็น-ไม่ปลอดภัย
วันที่ 27 ม.ค.2568 เวลา 12.30 น.ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา มีนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนด้วยวาจา เรื่องการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ของ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากที่คนไทยกำลังเผชิญกับอากาศที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ดัชนีวัดค่าอากาศก็รายงานว่าคน กทม.กำลังจมอยู่กับฝุ่น PM 2.5 สูงเกือบ 200 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ทั้งที่มาตราฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัม เช่นเดียวกับคนทั่งประเทศที่อยู่ในระดับใกล้เคียงกัน และขณะนี้คนไทยอยู่กันในระดับสีแดงและสีม่วงแล้ว และประเทศไทยติดท็อปเทรนด้านอากาศเสียของโลกแทบทุกวัน
“เราจะอยู่กันแบบนี้หรือ คุณภาพชีวิตของคนไทยต้องเผชิญชะตากรรม ด้วยฝีมือการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ไร้เดียงสาเช่นนี้หรือ ทราบหริอไม่ว่าในปีที่ผ่านมามีคนไทยป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับมลพิษทางอากาศถึง 2.1 ล้านคน ส่วนปีนี้ยังไม่ครบเดือนศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมิณค่าเสียหายจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาท และมีผู้ป่วยจากฝุ่นมฤตยูนี้รวม 1.44 แสนราย เราปล่อยให้รัฐบาลแสดงฝีมือในการบริหารประเทศแบบนี้มาเกือบ 2ปี นายกฯทั้ง 2 ท่านไม่มีแผนแม่บทในการจัดการสภาพอากาศอย่างชัดเจน ไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรม ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเด็ดขาด มีแต่ออกมาพูดว่า เรื่องฝุ่นเป็นวาระแห่งชาติ ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเป็นวาระของชาตินี้หรือชาติหน้า” น.ส.นันทนา กล่าว
น.ส.นันทนา กล่าวต่อว่า การที่ทุกคนกำลังเผชิญกับสภาพที่เลวร้ายนี้ ตนเห็นว่าเรากำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤตทางสุขภาพ ซึ่งเราต้องระดมสมองจากหลายฝ่ายเพื่อหาทางออกให้กับรัฐบาล เพราะลำพังมาตรกรแก้ปัญหาของรัฐบาลดูจะตื่นเขิน ฉาบฉวยและปลายเหตุ ทั้งมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม ขึ้นรถสาธารณะฟรี ย้ายผู้ว่าราชการจังหวัด ถ้าจังหวัดไหนมีการเผา ตนเห็นว่าเป็นเพียงมาตรการชะลอเวลา รอให้พ้นฤดูฝุ่นเท่านั้น เหมือนคนที่เป็นมะเร็ง ให้นั่งสวดมนต์ เพ่งพินิจไปที่บทสวดจะได้ลืมความเจ็บปวด สุดท้ายตาย นี้ไม่ใช่การแก้ปัญหาแบบมืออาชีพ เพราะปัญหาแบบนี้ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ต้องร่วมกันทุกกระทรวงอย่ามาแบ่งว่าเป็นกระทรวงของพรรคไหน หากแก้ปัญหาที่มาจากการเผาก็ต้องยุติการเผาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
น.ส.นันทนา กล่าวด้วยว่า โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จำเลยอันดับหนึ่ง เพราะการเผาเกิดจากห่วงโซ่การผลิตของเกษตรกร เผาเมื่อเตรียมปลูกใหม่ เผาเพื่อส่งอ้อย ข้าวโพด เข้าโรงงาน เผาเพื่อทำลายซัง กระทรวงเกษตรฯ ต้องคุมเข้มไม่ให้มีการเผาทุกขั้นตอน ใครเผาขึ้นแบล็คลิสต์ ตัดความช่วยเหลือทุกอย่างจากรัฐ ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมต้องควบคุมการหีบอ้อย การผลิตอาหารสัตว์จากข้าวโพดไม่ให้มีการเผาในทุกกรณี หากโรงงานไม่ปฏิบัติตามก็ดำเนินการตามกฎหมายไม่มีการเกี้ยเซี๊ยกัน กระทรวงพาณิชย์ ควบคุมการซื้อขายผลิตผลทางการเกษตรต้องไม่มาจากการเผาทุกรณี รวมทั้งการซื้อโภคภัณฑ์จากต่างประเทศ ต้องตรวจสอบย้อนหลังได้ว่าไม่มีที่มาจากการเผาใดๆ กระทรวงมหาดไทยต้องใช้กลไกการปกครองส่วนภูมิภาคตรวจจับการเผาทุกกรณีและลงโทษทางกฎหมายสูงสุดกระทรวงการต่างประเทศต้องเจรจากับประเทศในอาเซียนให้ปฏิบัติตามข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน นี่คือตัวอย่างข้อเสนอแนะและแนวทางในการแก้ปัญหาฝุ่นฝุ่น PM 2.5
“ประเทศนี้ไม่ใช่ของรัฐบาล เราทุกคนเป็นเจ้าของประเทศร่วมกันหน้าที่ของ สว. คือการตรวจสอบถ่วงดุลและเสนอแนะแนวทางแก่รัฐบาลเพื่อให้บริหารประเทศไปถูกทางแก้ปัญหาให้กับประชาชนอย่างถูกจุด จึงขอวิงวอน สว.ทุกท่านว่าเห็นแก่ประชาชนที่จ่ายเงินเดือนให้กับเราทุกคน ขอให้รับญัตตินี้แล้วช่วยกันอภิปรายระดมสมองหาทางอกในวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ส่งต่อไปให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป” น.ส.นันทนา กล่าว
จากนั้นเปิดให้สมาชิกอภิปรายแสดงความคิดเห็น ซึ่ง สว.ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับญัตตินี้ และต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาโดยด่วน เพราะถือว่ามีผลกระทบต่อประชาชนอย่างมาก เช่น ด้านนางประทุม วงศ์สวัสดิ์ สว. กลุ่มท่องเที่ยว ลุกขึ้นด้วยความอัดอั้นว่า ตนเป็นผู้ประสบภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ตนเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของประชาชน ในขณะเดียวกันถ้าเราบ่นไปกันเยอะๆ มันทำลายการท่องเที่ยวของตนด้วย ตอนนี้คู่แข่งเขาบอกว่ามาเมืองไทยจะเป็นมะเร็งปอด เพราะฉะนั้น ในความเห็นของตนมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตนเข้าใจและวันนี้ตนก็จะขอมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
“การบ่นร้อยครั้ง ไม่เท่ากับบอกครั้งเดียว วันนี้ดิฉันจะขอบอกการแก้ปัญหามีหลายมิติ แต่ของดิฉันตอนนี้เกิดจากดิฉันเป็นผู้ประสบภัยโดยตรง จากการที่รถเมล์ขนส่งมวลชนกรุงเทพ ตอนนี้มีทั้งหมดเกือบ 3,000 คัน แต่คันที่มีปัญหาคือสีส้มกับสีแดงครีม ทุกสาย 1,560 คัน ตอนนี้วิ่งไปทุกที่ทุกเขตของ กทม. ดิฉันมาจากห้วยขวางถึงรัฐสภา ตามรถควันดำทุกครั้ง โดยเฉพาะก่อนจะกลับบ้านที่พัทยา จะผ่านตรง ขสมก. ต้นสายเลย ตรงศูนย์วัฒนธรรม อยู่ในกับดักของรถเมล์ที่ปล่อยควันดำไม่ต่ำกว่า 3-4 คัน ขนาดเราอยู่ในรถแอร์เย็นๆ เรายังรู้สึกเหม็น รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย เพราะฉะนั้น ดิฉันขอแจ้งไปยังผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดเราแก้ปัญหาให้ถูกที่คัน ทำให้เป็นรูปธรรม รถควันดำกำจัดได้ก็ให้กำจัด ยกเลิกได้ก็ให้ยกเลิก เพราะอายุแต่ละคันไม่ต่ำกว่า 30 ปีน่าจะปลดประจำการได้แล้ว” นางประทุม กล่าว
ภายหลังการอภิปรายเสร็จสิ้น ที่ประชุมเห็นชอบให้เสนอญัตติและนำความเห็นของสมาชิกส่งให้รัฐบาลดำเนินการต่อไป โดยนายมงคล กล่าวว่า ตนเห็นว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์และมีความจำเป็นเร่งด่วน ดังนั้น ตนเห็นควรมอบหมายให้คณะ กมธ.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา รับเรื่องนี้ไปพิจารณาด้วย