นายกฯสั่ง 5 กระทรวง จับมือร่วมกันสนับสนุนสินค้าการเกษตร ในทุกมิติเพื่อสนับสุนเกษตรกรและกระตุ้นให้ ผลผลิตมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ขอให้เร่งแก้ปัญหาด่วนหลัง ก.เกษตรฯคาดการณ์ปีนี้ จะมีผลผลิตมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ด้านการท่องเที่ยว นายกฯสั่งการ กระตุ้น ปชส.เมืองน่าเที่ยวทั่วไทยหลังกลับจากงาน ITB เบอร์ลิน
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีครั้งที่ 10 ประจำปี 2568 วันอังคารที่ 11 มีนาคม 2568 นายกรัฐมนตรี มีข้อสั่งการในการประชุม ดังนี้ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการดังนี้ มาตรการบริหารจัดการผลไม้ที่จะทยอยออกสู่ตลาดตามที่ได้รับรายงานจาก ก.เกษตรฯ ว่า ปี 2568 ผลไม้หลายชนิดจะมีปริมาณผลผลิตเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะทุเรียน ซึ่งเป็นผลไม้เศรษฐกิจที่สร้างรายได้ จากการส่งออกให้แก่ประเทศมากกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี โดยมีประเทศจีนเป็นตลาดหลัก
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาราคาตกต่ำและสินค้าตกค้าง ในช่วงที่มีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในอีก 2-3 เดือนข้างหน้าจึงขอมอบหมายให้กระทรวงและหน่วยงานเกี่ยวข้องเตรียมความพร้อมและมาตรการบริหารจัดการต่าง ๆเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องเกษตรกร ดังนี้โดยให้ 1) ก.พาณิชย์ เตรียมมาตรการรองรับการกระจายสินค้าออกจากแหล่งผลิตรวมทั้งการส่งเสริมการบริโภคผลไม้ภายในประเทศ และขยายตลาด ต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อผลักดันการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ มากขึ้น
2) ก.คลัง โดยกรมศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณาขยายระยะเวลาเปิด-ปิดด่านทางบก ที่เชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านไปยังจีนให้สอดคล้องกับปริมาณและช่วงเวลาการขนส่งทุเรียน 3) ก.คมนาคม หารือภาคเอกชนในการเตรียมความพร้อมและอำนวยความสะดวก ทั้งรถขนส่งสินค้าและตู้ขนส่งสินค้าให้เพียงพอ 4) ก.เกษตรฯ กำกับดูแลการตรวจคุณภาพสินค้าอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะสารแคดเมียมและสารสีเหลือง (Basic Yellow 2) ซึ่งทางประเทศจีนกำหนดให้ตรวจ 100 % หากพบผู้กระทำความผิด ให้ดำเนินการตามกฎหมายทันที
5) ก.ต่างประเทศ ก.เกษตรฯ ก.พาณิชย์ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศจีน ในการอำนวยความสะดวกการนำเข้าทุเรียนจากไทย เช่น การยอมรับการตรวจสอบของห้องแล็บในไทย ตั้งแต่ต้นทางโดยไม่ต้องตรวจซ้ำ เป็นต้น
ทั้งนี้ ขอให้หน่วยงานที่ในกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้นำเอาข้อสั่งการทั้ง 5 ข้อไปปรับใช้กับสินค้าเกษตรชนิดอื่น ๆ เช่น มังคุด ลำไย ที่ผลผลิตจะทยอยออกสู่ตลาดเป็นจำนวนมากด้วย
นายจิรายุ กล่าวต่อไป ว่า นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการต่อไปว่า ตามที่นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมงาน ITB Berlin 2025 จากการที่ ประเทศเยอรมนี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถือเป็นเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีผู้ประกอบการจากทั่วเลกมารวมตัวกัน เพื่อแสดงศักยภาพของประเทศตนเอง ทั้งโรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวสายการบิน สินค้า และบริการต่างๆ ที่เป็นจุดแข็งของประเทศในปีนี้
รัฐบาลได้ประกาศให้เป็นปี Amazing Thailand Grand Tourism and Sports Year 2025 ขนาดบูธของประเทศไทยปีนี้ ได้จองพื้นที่เกือบทั้ง Hall ทำให้มีพื้นที่ในการแสดงศักยภาพของประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก ซึ่งได้รับความร่วมมือจาก ทั้งภาคเอกชน และประชาชน รวมถึงจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ ที่ร่วมมาเปิดบูธ 160 ราย โดยในปีนี้ รัฐบาลได้เน้นถึงการส่งเสริม softpower ซึ่งเป็นจุดขายหลักของประเทศไทยอีกด้วย
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า สิ่งที่สำคัญคือปีนี้รัฐบาลได้ผลักดันให้ผู้ประกอบการเมืองน่าเที่ยวใน 18 จังหวัดได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน น่าน สุโขทัย แพร่ ลำปาง สตูล ตรัง นครศรีธรรมราช หนองคาย อุดรธานี เลย นครพนม จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรีและสระแก้ว ได้มีโอกาสเจรจาธุรกิจกับผู้แทนบริษัทนำเที่ยว นำเสนอเสน่ห์ที่แตกต่างตอบโจทย์นักเดินทางที่มองหาจุดหมายใหม่ เชื่อมโยงเมืองหลักสู่เมืองน่าเที่ยว โดยได้รับความสนใจจากบริษัทนำเที่ยวชั้นนำจากหลายประเทศ/ดินแดน อาทิ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ สเปน สหราชอาณาจักร จีน อินเดีย ไต้หวัน เวียดนาม ญี่ปุ่น จอสเตรเลีย และสหรัฐอเมริกา ซึ่งทุกประเทศรู้สึกยินดีที่ประเทศไทยมีการนำเสนอในมุมของ Hidden Gems Cities เป็นโอกาสให้พัฒนาศักยภาพ ผู้ประกอบการให้มีความพร้อมในการเข้าสู่เวทีเจรจาธุรกิจระดับสากลได้อย่าง มีประสิทธิภาพซึ่งได้รับรายงานว่า มีการซื้อขาย แล้วประมาณ 7หมื่นกว่าราย มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริป ประมาณ 6 หมื่นกว่าบาท สร้างรายได้เข้าประเทศเบื้องต้น กว่า 4,400 ล้านบาท
ทั้งนี้ ภายหลังเสร็จงาน 3-6 เดือนจะมีการเจรจา สัญญาซื้อขายเพิ่มเติมอีกแน่นอน โดยขอให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เร่งติดตามผลและเดินหน้าประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ด้วยศักยภาพด้านแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกของไทย เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ตามที่นายกรัฐมนตรีสั่งการ