วันจันทร์, มีนาคม 17, 2025
หน้าแรกNEWSมติ304เสียงส่งศาลวินิจฉัยอำนาจ‘รัฐสภา’ แก้ไขรธน.ก่อน‘ประชามติ’ตามมาตรา201
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

มติ304เสียงส่งศาลวินิจฉัยอำนาจ‘รัฐสภา’ แก้ไขรธน.ก่อน‘ประชามติ’ตามมาตรา201

มติประชุมร่วมรัฐสภาเห็นด้วย 303 ส่งศาลรธน.วินิจฉัยอำนาจรัฐสภาแก้รธน.ตามม.201ขณะที่ “ปชน.”รุมซัดรัฐบาลเตะถ่วงแก้รธน.ตัวอุปสรรคแก้รธน.อยู่ที่นายกฯ ซัดวิกลจริตทำซ้ำๆแต่หวังผลต่าง “พท.” แนะแยกโลกความจริง-อุดมการณ์  ด้าน “วิโรจน์” ตอก “พท.” เลิกเล่นลิเกต้มประชาชน ยื่นญัตติส่งศาลรธน.ซ้ำเดิม “ชลน่าน” ชี้ต้องทำให้สุด ไม่ใช่หวังสร้างกระแส หลอกต้มประชาชน “ณัฐพงษ์” ชี้ความเห็นขัดแย้ง-ล้มประชุมรัฐสภาไม่ต้องส่งศาลรธน.ตีความแก้รธน. จี้ “รัฐสภา” เดินหน้าแก้ม.256 ทันที หวั่นยื้อทำรธน.ใหม่ไม่ทันเลือกตั้ง “สุทิน” สอนมวยปชน. แก้รธน.ต้องฉลาด-มีกลยุทธ์ เตือนเป็นไก่หลงตีตัวแพ้หมด ด้าน “วิโรจน์” ซัดกลับไร้ปัญญาแก้รธน.

วันที่ 17 มี.ค.2568 เวลา 12.00น. ที่รัฐสภา มีการประชุมรัฐสภา มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติ จำนวน 2 ญัตติของนพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สว. และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่ขอให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 ซึ่งที่ประชุมให้พิจารณาทั้ง 2 ญัตติไปพร้อมกัน เนื่องจากมีเนื้อหาทำนองเดียวกันเกี่ยวกับการจัดตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)มายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่ได้ทำประชามติสอบถามความเห็นประชาชนก่อน จะทำได้หรือไม่ ที่ประชุมอภิปรายแสดงความเห็นหลากหลาย โดยสส.พรรคประชาชน และสว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ ต่างอภิปรายคัดค้านการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ เพราะมองว่าไม่มีกฎหมายบังคับไว้ และรัฐบาลมีเจตนาเตะถ่วงการแก้รัฐธรรมนูญ ขณะที่สส.พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนให้ส่งเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญตีความการทำประชามติ เพื่อให้การยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ มีความถูกต้อง 

 นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องส่งญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการทำประชามติก่อนเสนอญัตติแก้รัฐธรรมนูญ วาระ1  การแก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องทำประชามติ 3รอบ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญไม่เคยระบุให้ทำประชามติ 3ครั้ง อุปสรรคไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย ถ้าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีคำตอบชัดเจนกลับมาก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าสว.และพรรคร่วมรัฐบาลจะร่วมแก้รัฐธรรมนูญ อุปสรรคอยู่ที่เจตจำนงของน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ทางออกอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล นายกฯต้องแสดงภาวะผู้นำ โน้มน้าวพรรคร่วมรัฐบาลให้สนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญ ต้องแสดงความจริงใจเป็นเจ้าภาพผลักดันแก้รัฐธรรมนูญที่เป็นนโยบายเรือธงของรัฐบาลให้สำเร็จ

นายเทวฤทธิ์ มณีฉาย สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ อภิปรายว่า ไม่เห็นด้วยกับการส่งญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ไม่ขัดขวาง สภาฯแห่งนี้เป็นสภาย้ำคิดย้ำทำ จะทำอะไรต้องถามศาลรัฐธรรมนูญ เสียหลักการแบ่งแยกอำนาจ มีความพยายามเตะถ่วงจากบางกลุ่ม เพราะไม่ต้องการมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ระหว่างรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อยากให้รัฐบาลพิสูจน์คำพูดน.ส.แพทองธารที่แถลงนโยบายเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ผ่านมา 6เดือน ไม่เห็นการเร่งรัด มีเพียงการออกมาพูดของนายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เท่านั้น

ด้าน น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว.กลุ่มพันธุ์ใหม่ กล่าวว่า แม้ 2ญัตติจะเขียนต่างกัน แต่ความหมายตรงกันคือ ต้องการรู้ว่า จะทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญกี่ครั้ง สภาฯเคยส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องอ้างว่า การบรรจุวาระประชุมรัฐสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นหน้าที่และอำนาจของประธานรัฐสภา แสดงว่า ศาลรัฐธรรมนูญมอบอำนาจให้รัฐสภาแก้รัฐธรรมนูญ จะต้องไปถามใหม่อีกทำไม คำพูดไอสไตน์บอกว่า มีแต่คนวิกลจริตเท่านั้น ที่ทำสิ่งซ้ำๆ แต่หวังผลแตกต่าง จึงตีความได้ว่า ต้องการยื้อแก้รัฐธรรมนูญหรือไม่ การที่ฝ่ายนิติบัญญัติต้องถามศาลรัฐธรรมนูญทุกเรื่อง การคานอำนาจ 3เสายังใช้ในประเทศไทยได้หรือไม่ จึงควรยืนยันอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติที่หนักแน่น ชัดเจน หวังว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะเอารัฐธรรมนูญเป็นตัวประกัน มาเล่นเกมแพ้ชนะ

ขณะที่ นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เชื่อว่า การยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความใช้เวลาไม่เกิน 1เดือน ถ้าไม่ตีความให้ชัดเจน จะเจอวังวนเดิม พรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาเตะถ่วง ต้องการผ่าทางตันให้ชัดเจน ชี้ขาดให้ชัดใครคือ ของจริง ของปลอม การอ้างไปยื่นเพื่อขยายขอบเขตอำนาจศาลรัฐธรรมนูญนั้น ในสภามีทั้งคนอยู่ในโลกอุดมการณ์ และโลกแห่งความจริง ในโลกแห่งความจริงประเทศไทยมีศาลรัฐธรรมนูญ ฝืนได้หรือไม่ โลกแห่งอุดมการณ์ศาลรัฐธรรมนูญไม่ควรมายุบพรรค หรือให้นายกฯพ้นตำแหน่ง แต่โลกความจริงยุบมาแล้วกี่พรรค ให้นายกฯพ้นตำแหน่งไปแล้วกี่คน จะอยู่ในโลกอุดมการณ์หรือโลกความจริง การยื่นตีความให้เกิดความชัดเจนจะได้เปิดตาเดิน เป็นวิธีแก้รัฐธรรมนูญถูกต้องที่สุด หลายคนชอบอ้างไอสไตน์ว่า คนโง่เท่านั้นที่ทำวิธีการเดิมๆ แต่อยากได้คำตอบใหม่ ถ้าไอสไตนยังอยู่ จะถามว่า ทำวิธีการเดิมๆ แต่บริบทใหม่ อาจได้คำตอบใหม่ วันนี้เกิดความเห็นแตกต่างเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญระหว่างองค์กร เป็นบริบทใหม่ หวังว่าจะได้รับคำตอบใหม่ รู้ได้อย่างไรจะได้คำตอบเดิมถ้าไม่ยื่นตีความ วันนี้ถ้าไอสไตน์ฟื้นขึ้นมา อาจต้องคิดใหม่ สนับสนุนให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญ

ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายโดยไม่เห็นด้วยกับการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ตนไม่ขัด แต่ได้งดออกเสียง แต่ผลคือศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องด้วยเสียงเอกฉันท์ ดังนั้นการส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อยื้อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ เป็นโรงลิเก หลอกต้มประชาชน ประเทศเสียเวลาครึ่งทศวรรษ ตนไม่เข้าใจจะยื่นญัตติให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอีกทำไม เพื่อซ้ำรอยการยื่นญัตติของนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทยทำไม ทั้งนี้ตนขอให้สมาชิกรัฐสภาใช้อำนาจที่รับมาจากประชาชนทำเพื่อประชาชน หยุดโรงลิเกหลอกต้มประชาชน หยุดการสร้างสภาโจ๊กซีซั่นสอง

“ไม่ใช่เสียเวลาศาล แต่เสียเวลาชีวิตประชาชน ที่ประเทศย่ำอยู่กับที่ ต้นตอปัญหาโครงสร้างของประเทศคือ รัฐธรรมนูญ 2560 ทำไมปากพูดแต่ไม่ลงมือทำ ผมจึงไม่เห็นด้วยส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ” นายวิโรจน์ อภิปราย

ขณะที่นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย อภิปรายสนับสนุนการส่งญัตติ ตอนหนึ่งว่ามีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตลอด ทั้งยื่นแก้ทั้งฉบับและรายมาตรา ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าระบบรัฐสภาเป็นเสียงข้างมากต้องยอมรับ ขณะที่เสียงข้างน้อยต้องตรวจสอบ  ทักท้วง ปัจจุบันเสียงข้างมากเป็นอย่างไรต้องเคารพ ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ต้องการทำให้สำเร็จ ต้องทำให้ทุกฝ่ายเห็นร่วมที่ตรงกัน เพราะมาตรา 256 เป็นกลไกที่ทำให้แก้รัฐธรรมนูญไม่ได้ หากไม่มีความเห็นร่วมกัน ปี2570 ไม่สามารถแก้รัฐธรรมนูญได้

“การพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทุกคนมีสิทธิตีความ การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยการร่างแก้ไขเพิ่มเติมมีหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทำให้ตีความเป็นการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ แต่ผมตีความว่าหากรัฐสภาต้องการทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือ รัฐสภามีมติเห็นชอบให้นับหนึ่งได้ และการแก้รัฐธรรมนูญต้องทำประชามติ จึงสามารถถามคำถามไปพร้อมกันได้ แต่การยึดว่าเป็นความเห็นถูกไม่ได้เพราะมีความเห็นต่าง จึงต้องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ  หากดื้อส่งรัฐธรรมนูญให้รัฐสภาพิจารณาแต่ถูกตีตก ต้องรอยื่นใหม่สมัยประชุมถัดไป แต่หากทำโดยละมุนละม่อนให้ศาลรัฐธรรมนูญ หากคำวินิจฉัยเป็นประโยชน์จะทำให้จบได้ หากต้องการรัฐธรรมนูญต้องเอารัฐธรรมนูญ การเมืองยุคนี้เป็นการเมืองกระแส แต่การสร้างกระแสไม่จริง คือการทำร้ายประชาชน และต้มประชาชนแน่นอน ดังนั้นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ” นพ.ชลน่าน กล่าว

ด้านนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายว่า หากมีความมุ่งมั่นตั้งใจแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ประชาชน ไม่ต้องลงมติส่งศาลรัฐธรรมนูญ และให้เดินหน้าแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ให้ทันก่อนปิดสมัยประชุม และตั้งกมธ.วิสามัญยกร่างแก้ไขทันที หากในอนาคตมีผู้ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และมีคำวินิจฉัยว่าต้องทำประชามติ 3 ครั้งแค่รีเซ็ตกระบวนการทำประชามติใหม่ ซึ่งไม่มีอะไรจะเสีย ยกเว้นต้นทุนของตัวเองที่จะเสียไป ตามที่มีคนอภิปรายว่าจะมีคดีเข้าตัวเองหากมีการฟ้องร้องสมาชิกรัฐสภาในภายหลัง มีการอภิปรายว่า หากยื่นศาลรัฐธรรมนูญคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณา 1 เดือน แต่หากพิจารณาแล้วพบว่าการพิจารณาแก้รัฐธรรมนูญจะไม่ทันสมัยประชุมนี้ และต้องรอไปอีก 4 เดือน เท่ากับปิดโอกาสแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้ทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ดังนั้นตนขอตั้งคำถามว่าที่ต้องทำเพราะมีเหตุผลการเมืองหรือใช้ข้อกฎหมายบังหน้า

“ในญัตติที่ระบุว่ามีข้อขัดแย้ง ผมมองว่าปัญหาข้อกฎหมายจะเกิดกรณีเดียว คือ ต้องการลงมติแล้วอย่างเดียวเท่านั้น ข้อขัดแย้งในการอภิปรายของสภาฯ วอร์กเอาท์ หรือไม่แสดงตนทำให้สภาล่ม ไม่เป็นอุปสรรคของการทำหน้าที่ปกติของสภาฯ และรัฐสภา เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นโครงสร้างใหม่ให้ประเทศเพื่อสร้างการเติบโตใหม่ให้ประเทศ หากสมาชิกรัฐสภามีเหตุผลทางการเมืองต้องถอยกลับไปคุยกันให้จบและน.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ แสดงภาวะผู้นำควบคุมเสียงรัฐบาลให้ได้ จะสามารถเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญได้”นายณัฐพงษ์ กล่าว

จากนั้นนายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย อภิปรายปิดท้ายว่า เราไม่ได้กลัว ไม่ได้เตะถ่วง เสียเวลา 1เดือนไม่ถึงขั้นเตะถ่วง  เราใช้ความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมากพอ แล้วผลเป็นอย่างไร ความกล้าหาญควรเสมอด้วยปัญญา ปัญญาควรเสมอด้วยสติคือ ใช้ความกล้าหาญอย่างเดียว ไม่ใช้สติ รบ 100ครั้งก็แพ้  กล้าหาญแล้วโง่ส่งไปแพ้หมด กล้าหาญแล้วต้องฉลาด อดทนให้ได้  ให้คิดดีๆว่า การแก้รัฐธรรมนูญเราสู้กับใคร ถ้าเลือกมิตรถูกจะมีเพื่อนร่วมทาง เราต้องสู้อีกมากมายเพื่อให้ได้ประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยไม่ใช่รถด่วน การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยใช้ความกล้าหาญอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีกลยุทธ ลมเปลี่ยนทิศต้องเบนหัวเรือ หลบลมไปสู่เป้าหมาย ให้แก้ได้ ไม่ใช่เพียงได้แก้

ด้านนายวิโรจน์ อภิปรายตอบโต้ว่า หากศาลรัฐธรรมนูญตีความออกมาจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่ สส.พรรคร่วมรัฐบาลจะเห็นด้วย ตนขอให้คำมั่นที่สะท้อนปัญญาให้สมาชิกรัฐสภา ทั้งนี้ตนดีใจที่นายสุทิน ระบุว่าจะตัดหางสุนัขไม่ยัดปากใครบางคน แต่หากหากเขาเอาหางสุนัขมารัดคอ ซึ่งตนช่วยเอาออก แล้วเดินหน้าไปด้วยกันได้ ตนยืนยันในความกล้าหาญมีสติปัญญา แต่ท่านจะไม่มีปัญญาแก้รัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการอภิปรายครั้งนี้มีมีสส.ฝ่ายค้าน รัฐบาล สว.ต่างลุกขึ้นอภิปรายแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญทำประชามติก่อนหรือไม่ แต่ปรากฎว่าพรรคภูมิใจไทย ที่ไม่ลุกขึ้นอภิปรายหรือแสดงความเห็นใดๆเลย

จากนั้น 17.30 น.ที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ได้ลงมติเห็นด้วยที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 หรือไม่ ด้วยคะแนน 304 ไม่เห็นด้วย 150 เสียง งดออกเสียง 124 ไม่ลงคะแนน 1 ทำให้ที่ประชุมเห็นด้วยให้ส่งไปยังศาลรธน.จากนั้นสั่งปิดประชุมเวลา 17.38 น.

- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img