มังกรกงสีอิ่มหมีทั้งตระกูล! “จอมยุทธ์โรจน์” ร่ายกระบวนท่าที่ห้า70นาที กระซวกเข้าจุดอ่อน “แพทองธาร” สุมหัว “ครอบครัว” ทำนิติกรรมอำพราง “ออกตั๋ว PN ลวง” สร้างหนี้ปลอม หนี “ภาษีรับให้” 218 ล้านบาท ซัดเอาแต่หาช่องโกง เอื้อประโยชน์ตัวเอง ไร้ความละอาย ยกรธน. ’มาตรฐานจริยธรรม‘ ขู่เตือน “สส.” ยกมือหนุน เจอคนไปร้อง “ป.ป.ช.” ระวังโดยสอยยกเข่งทั้ง
เมื่อวันที่ 24 มี.ค.68 เวลา 09.38 น. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูฯมาตรา 151 ต่อมา นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้รับเวลาการอภิปรายถึง 70 นาที กล่าวว่า คุณสมบัติของนายกฯตามมาตรา160 (4) และ (5) ต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ต้องไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง หากดูในรัฐธรรมนูญหมวด 4 หน้าที่ของปวงชนชาวไทย ในมาตรา 50(9) ระบุ บุคคลมีหน้าที่เสียภาษีอากรตามที่กฎหมายบัญญัติ แม้แต่นายกฯก็ไม่ได้รับการละเว้นในเรื่องนี้
ดังนั้น โดยสำนึกแล้ว นายกฯควรเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องการเสียภาษี รวมถึงระบบการจัดเก็บภาษีต้องมีความเป็นธรรมต่อสังคม ถ้านายกฯยังทำตัวหนีภาษี ความเป็นธรรมจะเกิดขึ้นกับประชาชนได้อย่างไร ทุกคนทราบดีว่าภาษีเป็นแหล่งรายได้หลักประเทศ เพื่อนำมาพัฒนาประชาชนและประเทศ แต่หนึ่งในปัญหาการจัดเก็บภาษีของไทยปัจจุบัน คือการที่คนรวยบางกลุ่มก้อนใช้ช่องว่างทางกฎหมายหลบเลี่ยงภาษี ซ้ำร้ายหลายกรณีเข้าข่ายหนีภาษี ภาระการเสียภาษีส่วนใหญ่จึงตกไปอยู่กับมนุษย์เงินเดือน ชนชั้นกลาง และประชาชนชาวรากหญ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พอสิ้นเดือนต้องโดนหักภาษีมูลค่าเพิ่ม

“พฤติกรรมการหนีภาษีน่ารังเกียจ เอาเปรียบประชาชน และขัดขวางการพัฒนาประเทศ ผมนึกไม่ถึงว่าพฤติกรรมที่น่าอดสูแบบนี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่ชื่อว่า “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ การอภิปรายครั้งนี้ไม่ใช่แค่ไม่ไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร แต่อภิปรายเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน ให้ประชาชนได้รู้ว่าคนอย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษี เป็นเยี่ยงอย่างให้การหลีกเลี่ยงภาษีของคนใหญ่โตเป็นเรื่องปกติ สร้างภาวะให้สังคมต้องจำยอมรับสภาพ มนุษย์เงินเดือน คนจน คนฐานราก ต้องแบกรับภาษีของประเทศ ถูกขูดรีดให้ต้องปรนเปรอให้คนมั่งมีที่เห็นแก่ตัวได้เสวยสุขอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร หนึ่งในนั้นคือแพทองธาร หลังจากที่ น.ส.แพทองธาร ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกฯ เมื่อวันที่ 18 ส.ค.67 น.ส.แพทองธาร มีการโอนหุ้น 19 บริษัท มูลค่า 9,330.5 ล้านบาท แต่ที่ผมต้องการถาม เป็นแค่การโอนหุ้น 2 บริษัท มูลค่า 393.5 ล้านบาทของตัวเองไปให้กับแม่และพี่สาว ผมขอถามว่าโอนไปด้วยวิธีใด เป็นการให้ หรือขายหุ้น” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า หุ้นแรกที่ น.ส.แพทองธาร โอน คือบริษัทอัลไพน์ กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด จำนวน 22.4 ล้านหุ้น มูลค่า 224.1 ล้านบาท โดยโอนไปให้ คุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ แม่ เมื่อวันที่ 4 ก.ย.67 หุ้นที่สอง บริษัท ประไหมสุหรี พร้อพเพอร์ตี้ จำกัด จำนวน 16.9 ล้านหุ้น มูลค่า 169.4 ล้านบาท โดยโอนให้ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ พี่สาว เมื่อวันที่ 5 ก.ย.67 หากการโอนหุ้นไปให้แม่และพี่สาวเป็นการให้ แม่และพี่สาวในฐานะผู้รับต้องมีภาระการจ่ายภาษีการรับให้ โดยผู้เป็นแม่ ต้องจ่ายภาษีการรับให้ให้รัฐ คิดเป็นเงิน 10.2 ล้านบาท ส่วนพี่สาว ต้องจ่ายฯ คิดเป็นเงิน 8 ล้านบาท รวมแล้วรัฐต้องได้ภาษีในครั้งนี้จำนวน 18.2 ล้านบาท แต่ต้องถาม น.ส.แพทองธาร ในฐานะนายกฯว่า รัฐจะได้ภาษีในส่วนนี้หรือไม่ แต่ภายในวันที่ 31 มี.ค.ประเทศนี้ก็จะรู้

“น.ส.แพทองธาร มีพฤติกรรมใช้ช่องว่างทางกฎหมายทำนิติกรรมอำพรางในการหนีภาษีการรับให้ตั้งแต่ปี 2559 จากที่มีการแก้กฏหมายประมวลรัษฎากรในส่วนของภาษีการรับให้ บังคับใช้เมื่อวันที่ 1 ก.พ.59 ผมจึงอยากชวนมาดูพฤติการณ์การซื้อหุ้นของแพทองธาร ชินวัตร กันแบบช้าๆ ค่อยๆเป็น-ค่อยๆไป แล้วให้ประชาชนทั้งประเทศ มาพิจารณาร่วมกันว่า จริงๆ แล้ว แพทองธาร ซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ กันแน่” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท มาจากพี่สาว โดยเป็นการซื้อเชื่อ โดยที่น.ส.แพทองธาร ไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่สาวเลยแม้แต่บาทเดียว ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 4 ใบ ให้พี่สาวไปนอนกอด หุ้นมูลค่า 2,388.7 ล้านบาท เปลี่ยนมือจากพี่สาว ไปอยู่ในมือของ น.ส.แพทองธาร เป็นที่เรียบร้อย โดยพี่สาวเป็นเจ้าหนี้ที่แสนดีไม่กำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่สาวเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่สาวก็ไม่คิด นี่คือการซื้อหุ้นจากพี่สาว หรือเจตนาแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่สาวกันแน่ กรณีพี่ชาย (พานทองแท้ ชินวัตร) ก็เหมือนกัน น.ส.แพทองธารได้หุ้นมูลค่า 335.4 ล้านบาท มาจากพี่ชาย โดยการซื้อเชื่อเช่นกัน โดยที่ น.ส.แพทองธาร ไม่ได้จ่ายเงินให้กับพี่ชาย เพียงแต่ออกตั๋ว PN เป็นกระดาษ 1 ใบ ให้พี่ชายเก็บเอาไว้ ไม่มีกำหนดว่าจะจ่ายหนี้ค่าซื้อหุ้นให้พี่ชายเมื่อไหร่ ดอกเบี้ยพี่ชายก็ไม่คิด ตกลงแล้วมันคือการซื้อหุ้นจากพี่ชาย หรืออันที่จริงแล้วมันคือการได้หุ้นมาจากการให้ของพี่ชาย ส่วนกับลุง กับป้าสะใภ้ และกับแม่ ก็เช่นเดิม น.ส.แพทองธารได้หุ้นมาจากลุง มูลค่า 1,315.5 ล้านบาท ได้หุ้นมาจากป้าสะใภ้ มูลค่า 258.4 ล้านบาท และได้หุ้นมาจากแม่ มูลค่า 136.5 ล้านบาท โดยเป็นการซื้อเชื่อ น.ส.แพทองธาร ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับลุง ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับป้าสะใภ้ ไม่ได้จ่ายเงินสักบาทให้กับแม่ แต่ออกตั๋ว PN ให้ลุงเอาไปกอด 2 ใบให้ป้าสะใภ้ และแม่ไปเก็บไว้ใต้หมอนคนละใบ อย่างนี้ตกลงเป็นการซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาจากการให้ของ ลุง ป้าสะใภ้และแม่ กันแน่
นายวิโรจน์ กล่าวว่า ถ้า น.ส.แพทองธาร ได้หุ้นมาจากการให้ของ พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ต้องเสียภาษีการรับให้ให้กับรัฐ แต่ถ้า น.ส.แพทองธาร ซื้อหุ้นจากพี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ น.ส.แพทองธาร ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว และเนื่องจากหลักเกณฑ์การรับรู้รายได้ในการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะใช้เกณฑ์เงินสด ซึ่งรายได้จะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อมีการรับเงินสดจริง ดังนั้นการที่ น.ส.แพทองธาร จ่ายค่าหุ้นที่ซื้อด้วยตั๋ว PN ที่ไม่ได้มีการจ่ายเงินกันจริง จะจ่ายกันเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ทำให้พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลยแม้แต่บาทเดียว และต่อให้มีการจ่ายค่าซื้อหุ้นกันในภายหลัง พี่สาว พี่ชาย ลุง ป้าสะใภ้และแม่ ก็ไม่ต้องเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดาอยู่ดี เพราะตามมาตรา 40(4)(ช) ของประมวลรัษฎากรกำหนดว่า รายได้จากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ เฉพาะส่วนเกินจากมูลค่าหุ้น (Capital Gain) หรือกำไรจากการขายหุ้นเท่านั้นจึงจะถูกนับเป็นเงินได้พึงประเมิน ดังนั้นหากกงสี ขายหุ้นให้ น.ส.แพทองธาร ในราคาพาร์ หรือราคาทุน พี่สาว พี่ชายลุง ป้าสะใภ้ และแม่ ก็ไม่ต้องจ่ายภาษีรายได้บุคคลธรรมดาเลย สลึงเดียวก็ไม่กระเด็นออกจากกงสี ดังนั้นเมื่อคำนวณรวมแล้ว น.ส.แพทองธาร ใช้ตั๋ว PN สร้างหนี้ปลอม เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีการรับให้เป็นเงินสูงถึง 218.7 ล้านบาท
นายวิโรจน์ อภิปรายทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า ลำพังแค่จะทำหน้าที่ในฐานะปวงชนชาวไทย น.ส.แพทองธาร ยังทำให้ดี ทำแบบตรงไปตรงมาไม่ได้ แล้วจะมีหน้ามาเป็นนายกฯ เป็นเยี่ยงอย่างที่ดีของประชาชนคนไทยได้อย่างไรพฤติกรรมการหนีภาษีการรับให้ 218.7 ล้านบาท ที่เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคม เอาเปรียบประเทศชาติ ล้วนชี้ชัดได้ว่า บุคคลคนนี้มีจิตละโมบ ที่คอยคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตน ไม่เคยคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนเลย การหลีกเลี่ยงการจ่ายภาษีของ น.ส.แพทองธาร นี่หรือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตพฤติกรรมแบบนี้ คือ การใช้ช่องว่างทางกฎหมาย ใช้เล่ห์เพทุบาย ในการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ อย่างไม่รู้จักละอาย คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียว เป็นเหลือบลิ้นไรกัดกินผลประโยชน์ของประชาชน ไม่สมควรที่จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป ถ้าพฤติกรรมการหนีภาษีของบุคคลคนนี้ เรียกว่าอยู่ในกรอบศีลธรรมอันดี แล้วถ้าประชาชนโดยเฉพาะเยาวชน เกิดไปเอาเยี่ยงเอาอย่างประเทศชาติ มีหวังล่มสลายแน่นอน
นายวิโรจน์ กล่าวว่า น.ส.แพทองธาร ไม่มีความยึดมั่นในกฎหมายเลย วันๆคิดแต่จะหาช่องหาหลืบของกฎหมายกระทำการอย่างไร้ความละอาย เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับตนเอง เอารัดเอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบประเทศชาติ นายกฯหนีภาษีแบบนี้ หากปล่อยให้ดำรงตำแหน่งต่อไป ไม่ใช่แค่เสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง แต่ถึงขั้นเสื่อมเสียเกียรติศักดิ์ของประเทศชาติ เราจะบอกกับประเทศอื่นๆ ยังไง ว่าประเทศไทยของเรามีนายกฯหนีภาษี รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ทั้งนิติกรรมอำพราง ที่ใช้ตั๋ว PN หนีภาษีการรับให้มูลค่า 218.7 ล้านบาท ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า คนอย่าง น.ส.แพทองธาร มีแต่ความทุจริตเป็นที่ประจักษ์ วันๆ เอาแต่เสาะหาช่องว่างทางกฎหมาย เพื่อตักตวงผลประโยชน์ให้กับตนเอง จุ๊บๆจิ๊บๆ ก็เอาเล็กๆน้อยๆ ก็ไม่เว้นหนีภาษีแบบนี้ ไม่ใช่แค่เป็นนายกฯไม่ได้ แต่เป็นแค่คนปกติก็ยังเป็นไม่ได้ น.ส.แพทองธาร ไม่ใช่แค่ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะลุก เดิน ยืน นั่ง ในทำเนียบรัฐบาล แม้แต่ตามถนนหนทางตามตรอกซอกซอย ในประเทศนี้ คนหนีภาษีอย่าง น.ส.แพทองธาร ก็ไม่มีหน้าที่จะเดินหน้าตั้งคอตรง สู้หน้าประชาชนได้อีกต่อไป นอกจากนี้นายกฯ โดยตำแหน่งแล้ว ต้องดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ ตนอยากรู้จริงๆว่าคนหนีภาษีอย่าง น.ส.แพทองธาร ยังจะกล้าแบกหน้าไปนั่งประชุมนั่งหัวโต๊ะคณะกรรมการฯดังกล่าวอยู่อีกหรือ
นายวิโรจน์ กล่าวด้วยว่า หลังจากนี้จะต้องมีการร้องไปที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไต่สวนในเรื่องนี้แน่ เชื่อว่าพฤติกรรมเช่นนี้ น.ส.แพทองธาร ก็ไม่รอด ตนเป็นห่วงก็แต่สส. ที่จะยกมือไว้วางใจ น.ส.แพทองธาร ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป เพราะอาจเข้าข่ายร่วมกันฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญได้ หากมีคนไปร้องสส.ที่ยกมือให้แพทองธาร ก็อาจจะเข้าปิ้งตายตกตาม น.ส.แพทองธาร ไปด้วย ประชาชนฝากความหวังไว้กับผู้นำ แต่กลับได้โจรใส่อาภรณ์ ขุนนางสวมรองเท้าไข่มุก ปากที่ตัวเองเคยพูดว่ามีกินมีใช้ไปพร้อมๆกัน ที่แท้ก็คือการหาช่องว่างทางกฎหมายเพื่อให้มีกินกันเฉพาะกงสีให้ได้อิ่มหมีเฉพาะตระกูล น.ส.แพทองธาร นายกฯหนีภาษี ไม่มีศักดิ์ศรีที่จะดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีกแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในช่วงระหว่างที่ นายวิโรจน์ อภิปราย มีสส.จากฝั่งพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงเป็นระยะๆตลอดการอภิปรายของ นายวิโรจน์ จนทำให้วุ่นวาย เพราะมีการอภิปรายพาดพิงไปถึงบุคคลในครอบครัวของ น.ส.แพทองธาร เริ่มจาก นางนุชนาถ จารุวงษ์เสถียร สส.ศรีสะเกษ พรรคเพื่อไทย กำลังจะลุกขึ้นประท้วง แต่ถูก นายวิโรจน์ สวนขึ้นมาว่า “ร้องกี้ก่อนได้มั้ยครับ” โดย นางนุชนาถ กล่าวว่า “นายวิโรจน์ ไม่รู้สี่รู้แปด” นายโรจน์ จึงตอบโต้ว่า “หากอยู่ในสภาฯ ต้องอยู่ในฐานะลิ่วล้อ เป็นบริวาร ไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จะอยู่ทำไม ผมถามแค่นี้ ไม่มีความเป็นศักดิ์ศรีของความเป็นสส. จะอยู่ทำไม” ทั้งนี้ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯคนที่ 1 ที่สลับขึ้นมาทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้พยายามควบคุมการประชุม และได้ปิดไมโครโฟน แต่ไม่เป็นผล นายวิโรจน์ ยังตะโกนอภิปราย จนมีเสียงดังภายในห้องประชุมดังสวนขึ้นว่า “ออกไป”.