‘นายกฯ’ ลุกแจง ยัน ปม ‘ตั๋ว PN’ เป็นเรื่องปกติ ย้อนถาม ‘ฝ่ายค้าน’ คนในพรรคเคยทำหรือไม่ มั่นใจ เสียภาษีมากกว่าแม้อายุน้อยกว่า ชี้ ถูกตรวจสอบบัญชีอย่างเข้มข้นหลังรัฐประหาร 49 ด้าน ‘วิโรจน์‘ สวน คนไทยทั้งประเทศเสียภาษีน้อยกว่าอยู่แล้ว คนเสียภาษีมาก แต่เลี่ยงต่างหาก ที่น่ารังเกียจ
วันที่ 24 มี.ค.2568 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สองเป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ ต่อมาเวลา 15.17 น.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงว่า ตอนเช้ามีสมาชิกอภิปรายเข้าใจว่าตัวเองเป็นจอมยุทธสำคัญผิดในเรื่องข้อเท็จจริงใช้สำนวนโวหารให้ประชาชนเข้าใจคาดเคลื่อน เอาเรื่องภาษีคนละหมวดมาอธิบายให้คนเข้าใจผิดกัน ขอยืนยันว่าการปฏิบัติและเจตนา ดำเนินการทุกอย่างตรงไปตรงมา ตามกระบวนการและข้อกฎหมายทุกอย่าง การที่บอกว่าหนีภาษีไม่เป็นความจริงเลย แต่ก็เป็นเรื่องตรงกันข้ามแม้จะอายุน้อยกว่าท่าน แต่ดิฉันมั่นใจเสียภาษีให้รัฐมากกว่าท่านแน่นอน ส่วนการแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อป.ป.ช.ตั้งแต่วันที่ดำรงตำแหน่ง ยื่นครบถ้วนตามขั้นตอนทุกอย่าง และได้ยื่นคำร้องตรวจสอบความถูกต้องเรื่องต่างๆที่ถูกฟ้อง เรื่องทุกอย่างอยู่ในกระบวนการการตรวจสอบของป.ป.ช.คนยินดีที่จะให้ข้อมูลและหลักฐานทุกอย่างที่ทางป.ป.ช.ขอมา
นส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องธุรกรรมต่างๆก่อนดำรงตำแหน่ง ทรัพย์สิน หนี้สิน หรือกิจการของครอบครัวถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้นมาตั้งแต่ก่อนปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 49 เข้มข้นมาตลอดไม่เคยมีตอนไหนไม่เข้มข้นเลย ทุกบัญชี ทุกธุรกรรมอยู่ในสายตา อยู่ในที่เปิดเผย ที่โปร่งใสมานานมากแล้ว นอกจากนี้ขอยืนยันที่ถูกตรวจสอบและทรัพย์สินถูกต้องตามกฎหมายทั้งหมด ที่ดินทุกแปลง ทุกตารางวา ที่ดิฉันและครอบครัวมี ออกโฉนดโดยรัฐทั้งหมด ไม่มีการซื้อที่ดินที่ดินไม่มีโฉนด การทำธุรกรรมของหุ้นเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 59 ก่อนเข้าสู่การเมืองหลายปี มีความตั้งใจในการปรับโครงสร้างการถือหุ้นบริษัท โดยการซื้อขายผ่านตั๋วสัญญา หรือเรียกสั้นๆ PN เป็นหนังสือการให้คำมั่นสัญญาว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งกับบุคคลหนึ่งตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ และได้ติดอากรแสตมป์เรียบร้อย การซื้อขายแบบนี้บางรายการไม่ต้องเสียภาษี เนื่องจากยังไม่มีการชำระเงิน เพราะยังไม่ทราบจำนวนเงิน และเสียภาษีไม่ได้ จึงเป็นภาระหนี้สินของดิฉันและครอบครัว จริงๆก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่มีนิติกรรมอำพรางใดๆยอดหนี้ก็แสดงชัดเจนอยู่ในบัญชีทรัพย์สินและได้ยื่นต่อป.ป.ช.อยู่แล้ว ตรวจสอบได้ทุกอย่าง เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่และทำกันมาปกติอยู่แล้วลองถามสมาชิกฝ่ายค้านด้วยกันก็ได้มีใครทำธุรกิจประมาณนี้ไหม ได้ทำตั๋วสัญญาแบบนี้บ้างไหมลองถามดู ถ้ามีก็ไม่ได้ว่าอะไรเป็นเรื่องปกติ
“ที่สมาชิกอ้างว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นแหล่งทุจริต ข้าราชการผู้ใหญ่จะออกตั๋วสัญญาใช้เงิน กระบวนการค้ายาเสพติดจะออกตั๋วให้ อันนี้เป็นเรื่องจินตนาการมากเกินไป เพราะการออกตัวสัญญาใช้เงิน เป็นธุรกรรมถูกกฎหมายดำเนินการได้โดยเปิดเผยฝ่ายผู้ซื้อ และผู้ขาย มีภาระหนี้สินระหว่างกัน ไม่มีการกระทำนอกกฎหมายใดๆ เพราะเป็นการดำเนินทำธุรกรรมอย่างเปิดเผยไม่สามารถปกปิดได้ แต่ต้องบรรลุนิติภาวะ”นายกฯกล่าว
นายกฯ กล่าวต่อว่า ส่วนการปรับโครงสร้างซื้อขายใช้หุ้น ไม่พร้อมที่จะชำระด้วยเงินสด จึงทำตั๋วสัญญาใช้หนี้แทน ซึ่งแสดงในบัญชีทรัพย์สินต่อป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว และได้พูดคุยกันในครอบครัวอยู่แล้วว่าวางแผนที่จะชำระ รอบแรกภายในปีหน้า เป็นสิ่งที่ดิฉันและครอบครัวตกลงกันไม่ได้มีปัญหาอะไร เมื่อเกิดการซื้อขายเกิดขึ้น สิ่งทุกอย่างหลักฐานก็จะปรากฏในบัญชีทรัพย์สินของดิฉันแน่นอน ป.ป.ชตรวจสอบได้ โปร่งใส เมื่อมีการซื้อขาย และมีการจ่ายภาษี ส่วนที่ดินอัลไพน์เกิดขึ้นเกิดมานานมากแล้ว ครอบครัวของดิฉันซื้อที่ดินแปลงนี้ ตอนดิฉันอายุ 11 ขวบและไม่ได้เป็นกรรมการ ก็ไม่แน่ใจว่าจะต้องอภิปรายไว้ตั้งแต่ตอนนั้นหรือเปล่า และที่ดินของครอบครัวไม่เคยซื้อดินที่ไม่มีออกโฉนดจากหน่วยงานรัฐ
เมื่อมีคดีความก็เป็นไปตามกระบวนการทุกอย่าง จนมาเป็นนายกฯก็ไม่มีการแทรกแซงใด ๆและไม่เคยไปสั่งหน่วยงานไหนไปแทรกแซง หรือให้ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทำไม่ได้ ท่านอาจไม่เข้าใจกระบวนการในการทำงานแบบนี้ แต่ไปไปแทรกแซงแบบนั้นไม่ได้ อาจจะต้องอธิบายในอนาคตเพิ่มเติม เรื่องนี้มีรายละเอียดเพิ่มเติม เดี๋ยวจะมอบหมายให้รมว.มหาดไทยชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติมว่าทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ ส่วนที่ดินเขากระโดงเป็นกรณีพิพาทระหว่างกรมที่ดิน การรถไฟ และพี่น้องประชาชน ดิฉันจะกำชับเรื่องนี้อย่างดี ให้ความเป็นธรรมกับพี่น้องประชาชน ทุกขั้นตอนจะต้องดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย ตามกระบวนการ ขอให้มั่นใจว่าจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆจะนำเข้ากระบวนการตามระบบ ตามระเบียบจริงๆ ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความวุ่นวายต่างๆตามมา
“ไม่อยากให้ใช้เรื่อง sensitive เหล่านี้ พูดจะให้เกิดความสับสน หรือเกิดความแตกแยกในสังคม จริงๆแล้วเป็นคนรุ่นใหม่ พร้อมที่จะรับฟัง เมื่อใครมีผลงานใดๆที่มีประโยชน์ หรือเกิดประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ควรจะชื่นชมบ้าง ก็จะเป็นกำลังใจในการทำงานด้วย เพราะอย่างน้อยๆ เราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน ทุกคนก็หวังดีกับประเทศไทยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการดพูดเพื่อให้คนเกิดความเกลียดชัง แตกแยก เราผู้มีวุฒิภาวะไม่ควรทำ”นายกฯ กล่าว
ทำให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรคประชาชน ลุกขึ้นโต้ตอบทันทีว่า นายกรัฐมนตรีจะเสียภาษีมากกว่าใคร นั่นเป็นหน้าที่ของท่านนายกฯ อยู่แล้ว ตนมั่นใจ ว่าคนไทย 60 ล้านคนหรือมากกว่านั้น เสียภาษีน้อยกว่าท่านนายกฯ ทั้งนั้น แต่ขอให้กลับไปดูมาตรา 50 (9) ของรัฐธรรมนูญ บุคคลมีหน้าที่ต้องเสียภาษี ตามที่กฎหมายบัญญัติ ประชาชนจะเสียมากหรือเสียน้อย ทุกคนมีศักดิ์ศรีเท่ากัน
ทำให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ สส.เชียงใหม่ และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ลุกประท้วงนายภราดรว่า ขอประท้วงท่านประธาน ในข้อ 9 ไม่อยากให้ท่านประธานเปลี่ยนญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกระทู้ แล้วการพาดพิง ตนเข้าใจว่าสามารถใช้สิทธิ์ได้ แต่สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดมาทั้งหมด ไม่ได้มีความเกี่ยวเนื่องกับสิ่งที่พาดพิงถึงนายวิโรจน์เลย ดังนั้นท่านประธาน โปรดควบคุมการประชุมด้วย
จากนั้น นายภราดร วินิจฉัยว่า ตนพยายามฟังนายวิโรจน์อยู่ ว่าจะเข้าเรื่องที่นายกรัฐมนตรีพาดพิงอย่างไร ขอให้กระชับ
ก่อนที่นายวิโรจน์ กล่าวว่า เสียภาษีมากน้อยไม่ได้สำคัญ ตราบใดที่ประชาชนทุกคน คนตัวเล็กตัวน้อยเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติ เขาถือว่าทำได้ถูกต้อง ตามรัฐธรรมนูญแล้ว
“เสียภาษีมาก แต่หาเทคนิคในการหลบเลี่ยงหนีภาษีต่างหากที่น่ารังเกียจ” นายวิโรจน์ กล่าวทำให้นายภราดร กำชับทิ้งท้ายว่าประเด็นไม่ได้อยู่ในการพาดพิง การพาดพิงคือพาดพิงไปถึงบุคคลใด และทำให้บุคคลนั้นเสียหาย ท่านนายกฯ ไม่ได้พาดพิงไปถึงนายวิโรจน์และทำให้เสียหาย เพราะฉะนั้น การชี้แจงเมื่อสักครู่นี้ ไม่ใช่เป็นลักษณะพาดพิง ถือว่านายวิโรจน์อภิปรายจบไปแล้ว
