‘วรภพ’ แฉ ขบวนการค่าไฟแพง พบพิรุธ ไม่โปร่งใส ซ้ำซ้อน ล็อกสเปกเอกชน เร่งรีบเซ็นสัญญา ราวกับว่าได้รับคำสั่งมา จาก ‘ดีลตั้งรัฐบาล’ เพื่อสานต่อขบวนการเอื้อนายทุนก๊วนกอล์ฟบิดานายกฯ ซ้ำเติมภาระค่าไฟประชาชน ด้าน ‘องครักษ์’ แห่ประท้วงขอไม่อยากเอ่ยชื่อพรรคการเมือง
วันที่ 24 มี.ค.68 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาฯคนที่สองเป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกฯ ต่อมาเวลา 15.35 น. นายวรภพ วิริยะโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน อภิปรายกล่าวหาว่า โกงค่าไฟประชาชน ทุจริตเชิงนโยบาย สานต่อขบวนการค่าไฟแพง ปล้นเงินประชาชนคนทั้งประเทศไปแลกดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกรัฐมนตรี
นายวรภพ ไล่เรียงความผิดของขบวนการทุจริตเชิงนโยบายว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีเดินหน้าสานต่อการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียนระยะ 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ แม้โครงการจะชะลอมา 3 เดือนแล้ว แต่รัฐบาลตั้งใจโกงค่าไฟประชาชน 1 แสนล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย โครงการดังกล่าวริเริ่มโดยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อมีนาคม 2566 เป็นมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เป็นเวลา 2 เดือนก่อนการเลือกตั้ง และรัฐบาลใหม่เองก็มาสานต่อและเดินหน้าโครงการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2567 โดยมติของ คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้ามาสู่รัฐบาลปัจจุบัน แม้จะมีมติให้ชะลอโครงการออกไปก่อน ผ่านมา 3 เดือนแล้ว ก็ยังไม่มีคำชี้แจงจากนายกรัฐมนตรีว่าจะตัดสินใจอย่างไร หรือเป็นเทคนิครอให้ข่าวเงียบ เพื่อให้ไปลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนต่อได้
นายวรภพ กล่าวว่า การรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ไม่มีการประมูลแข่งขันราคาแต่อย่างใด เพราะมีการกำหนดราคารับซื้อไว้แล้ว ราคาที่รัฐจะรับซื้อเป็นเส้นตรงคงที่ตลอด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยี คำนวณแล้วจะทำให้ค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนล้านบาท ยกตัวอย่างราคาไฟฟ้าแสงอาทิตย์ ที่บิดาของนายกรัฐมนตรีเคยยืนยันเมื่อ 2 เดือนที่แล้วว่า ต้นทุนไฟฟ้าแสงอาทิตย์อยู่ที่ 1.8 บาทต่อหน่วย แต่นายกรัฐมนตรีคนลูกยินดีจะซื้อถึง 2.2 บาทต่อหน่วย ทำให้ค่าไฟของประชาชนจะแพงขึ้นกว่าที่เกินจะเป็น หากรัฐบาลเดินหน้ารับซื้อโดยไม่เปิดประมูล ให้กลุ่มทุนได้รับกำไร นอกจากนี้ การรับซื้อไฟฟ้า 3,600 เมกะวัตต์ ยังซ้ำซ้อนกับการเปิดเสรีไฟฟ้าสะอาด 2,000 เมกะวัตต์ของรัฐบาลเอง ที่อนุมัติก่อนหน้าไปแล้วในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ช่วงเดือนมิถุนายน 2567 แต่ในเดือนกรกฎาคม 2567 รัฐบาลแพทองธาร กลับเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน 3,600 เมกะวัตต์ ขณะที่ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าเอกชนล้นเกินอยู่แล้ว หากรัฐรับซื้อไฟฟ้าโดยเกินความต้องการ ราคาก็จะมาหารในบิลค่าไฟของประชาชนทุกคน
นายวรภพ ระบุว่า โครงการดังกล่าวมีการล็อกโควตาเฉพาะเอกชนที่ยื่นโครงการในระยะแรก 2,100 เมกะวัตต์ จะได้รับสิทธิพิจารณาก่อนเพื่อน เอกชนส่วนหลังจะมีสิทธิเฉพาะ 5,200 เมกะวัตต์ที่เหลือในส่วนหลัง เหมือนกีดกันผู้ประกอบการรายใหม่ และปลอบใจรายเก่า
“กกพ. ก็กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่มีเอกชนที่ผ่านคุณสมบัติ มีจำนวนมาก เอกชนที่ได้รับคะแนนเทคนิคสูงที่สุด จะได้รับคัดเลือกก่อน แต่ประเด็นที่เป็นข้อพิรุธทุจริตนโยบาย คือการรับซื้อไฟฟ้านี้ นอกจากจะไม่เปิดประมูลแล้ว ก็ไม่มีการประกาศว่า หลักเกณฑ์ในการให้คะแนนเทคนิค คืออะไร พูดง่ายๆ คือ เป็นการเปิดช่อง ให้มีการใช้ดุลพินิจได้มหาศาล จิ้มเลือกได้เลยว่าต้องการให้เอกชนรายใด ได้รับคัดเลือกในการที่จะได้กำไรดีๆ จากการขายไฟฟ้าให้รัฐ ที่ไม่ต้องประมูลแข่งขันอะไรเลย” นายวรภพกล่าว
นายวรภพ กล่าวหาว่า รัฐบาลเร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกลุ่มทุนพลังงานที่ใกล้ชิดกับครอบครัวนายกรัฐมนตรี ออกงานกันสนิทสนม ร่วมโต๊ะโซน VIP กันหลายงาน และกลุ่มทุนพลังงานนี้ ก็เป็นก๊วนกอล์ฟกับคุณพ่อของนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยออกรอบกันหลายครั้งด้วย แต่การมีเพื่อนเป็นเจ้าสัว เป็นก๊วนกอล์ฟ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรนะครับ และรัฐบาลก็คงไม่ผิดอะไร ถ้ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีไม่ได้สานต่อ หรือเอื้อประโยชน์อะไร มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น ทั้งที่พรรคเพื่อไทยเคยคัดค้านโครงการนี้มาก่อน และศาลปกครองมีคำสั่งทุเลาการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการนี้ แต่กลับไม่มีการชะลอโครงการ แม้จะมีคำสั่งศาลปกครองที่ชี้ว่ากระบวนการคัดเลือกนั้นไม่โปร่งใส เนื่องจากรัฐบาลเอื้อผลประโยชน์นายทุนพลังงาน จนทำให้ประเทศไทยมีกลุ่มทุนผูกขาด และเกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลยกเลิกโครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟส 2 รอบ 3,600 เมกะวัตต์ และเร่งรัดการเปิดเสรีพลังงานสะอาด (Direct PPA) พร้อมขอให้ยกเลิกการลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า โครงการรับซื้อไฟฟ้าหมุนเวียน เฟสแรก รอบ 5,200 เมกะวัตต์ ในส่วนที่ยังไม่ได้ลงนาม
“พอเป็นเรื่องประโยชน์ประชาชน รัฐบาลก็อ้างว่าต้องศึกษาอย่างรอบคอบ แต่พอเป็นเรื่องประโยชน์กลุ่มทุนพลังงาน รัฐบาลไม่รีรออะไรทั้งนั้น เอาสัญญาซื้อขายไฟฟ้าไปเลย เพราะกลัวว่า ประชาชนจะรวมพลังกันคัดค้าน เขาเลยต้องเร่งรีบลงนามสัญญา ราวกับรับคำสั่งมา ราวกับว่าการลงนามในสัญญา เป็นส่วนหนึ่งของดีลจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว ถึงรวดเร็วแบบนี้ หากย้อนกลับไปก่อนเลือกตั้ง ก็ยิ่งตอกย้ำความผิดของการทุจริตนโยบายขบวนการค่าไฟแพงได้เป็นอย่างดี”
จากนั้น นายวรภพ ยกตัวอย่าง ข้อความจากเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย จึงทำให้นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงว่า สิ่งที่นายวรภพนำขึ้นจอ และใช้คำว่า พรรคเพื่อไทยตลอดนั้น ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาลที่ประกอบไปด้วยหลายพรรค และพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้ดูแลกระทรวงพลังงาน เพราะฉะนั้น ขอความกรุณา อย่าใส่ร้าย
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธาน วินิจฉัยว่า ประเด็นการอภิปราย คือการอภิปรายรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็ไม่เกี่ยว เพราะอาจเกิดความเสียหายได้ ขอให้เว้นเรื่องชื่อพรรค แต่พูดถึงตัวนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ได้ตามที่อยู่ในญัตติ
นายวรภพ ย้ำว่า ข้อกล่าวหาของตน คือการระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร รู้อยู่แล้วว่า สัญญาซื้อขายไฟฟ้า จะทำให้ค่าไฟของประชาชนเแพงขึ้น ทั้งยังแต่งตั้งบุคคลที่เอื้อประโยชน์กับกลุ่มทุนมาเป็นรัฐมนตรี จากนั้น ไดอ้างอิงจากข้อความในเฟซบุ๊กพรรคเพื่อไทย โดยย้อนไปถึงสมัยที่พลเอกประยุทธ จันทร์โอชา องคมนตรี ยังเป็นนายกรัฐมนตรี
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวอีกว่า ขออย่าเอ่ยชื่อบุคคลภายนอก อย่างพลเอกประยุทธ์ จะกล่าวว่า อดีตนายกรัฐมนตรี หรืออะไรก็ได้ แต่อย่าเอ่ยชื่อ เพราะไม่อยากให้การประท้วง ตนเห็นว่า การพูดถึงพรรคการเมือง อาจส่งผลสมาชิกของพรรค และในญัตติ ก็ไม่มีการระบุถึงชื่อพรรคการเมือง จึงขอให้อภิปรายในประเด็นที่อยู่ในญัตติ รวมถึงรัฐมนตรีพรรคอื่น ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน
จากนั้น นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน ขอใช้สิทธิ์ประท้วงประธาน โดยถามว่า นายกรัฐมนตรีเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย มาตรฐานของประธาน คือนายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามนโยบายหาเสียงของพรรคเพื่อไทยเลยใช่หรือไม่ เพราะนี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกันชัดเจน
นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวยืนยันว่า ตามข้อบังคับต้องพูดในญัตติ เพราะหากพูดถึงพรรคการเมือง ตนก็ไม่ยอมเหมือนกัน
นายปกรณ์วุฒิ กล่าวย้ำว่า ในญัตติระบุไว้ว่า เป็นนโยบายที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ซึ่งก็คือนโยบายของพรรคการเมืองหรือไม่ ถ้าจะพูดถึงพรรคการเมืองในสภาไม่ได้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีสภาไว้ทำไม

ทำให้นายวันมูหะมัดนอร์ ชี้แจงอีกว่า ไม่ใช่ว่าพูดไม่ได้ หากไม่ทำให้เกิดความเสียหาย ก็ไม่เป็นอะไร ไม่งั้นจะเกิดการประท้วง แล้วจะเดินต่อไปไม่ได้ อย่าเถียงกันเลย ตนวินิจฉัยแล้ว ตอนที่ตนเป็นฝ่ายค้าน ตนก็ปรามประธานในที่ประชุมอย่างนี้ ยืนยันว่า ตนวางตัวเป็นกลาง เพราะไม่อยากให้สมาชิกมาตำหนิได้ ความเห็นแต่ละคนไม่ตรงกันเป็นไปได้ แต่ขออย่านำประเด็นนี้ มาพูดจนเกิดความเสียหาย ตนไม่เคยมีความตั้งใจเช่นนั้นเลย มาตรฐานอยู่ที่ข้อบังคับ
นายวรภพ อภิปรายต่อว่า รัฐบาลก่อนหน้ารัฐบาลที่แล้ว ซึ่งคือรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค อนุมัติสัญญาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่รัฐบาลที่แล้วเป็นคนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เจรจาได้แต่กลับไม่ทำ และพรรคการเมืองที่นายกรัฐมนตรีเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ก็กล่าวหารัฐบาลที่แล้ว เช่นเดียวกันว่า ต่อให้รัฐบาลที่อนุมัติโรงไฟฟ้า 2 โรงนี้ แต่รัฐบาลที่ลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าต่างหากที่เป็นคนผิด จนทำให้วันนี้ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าล้นเกิน และทำให้ค่าไฟแพง ซึ่งในช่วงหาเสียงก็โบ้ยความผิดให้กับรัฐบาลที่แล้ว แต่พอตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล กลับอนุมัติสัญญาซื้อขายอีกในรัฐบาลก่อนหน้า สานต่อขบวนการค่าไฟแพงอย่างไร้รอยต่อไป ทั้งที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็ม ในการยกเลิก หรือชะลอการลงนามได้ แต่ก็ไม่ทำ รู้ทั้งรู้ว่า การทำเช่นนี้จะทำให้ค่าไฟของประชาชนแพงขึ้น
“ที่นายกรัฐมนตรี เคยหาเสียงไว้ว่า มีกิน มีใช้ นายกรัฐมนตรีอาจจะไม่ได้หมายถึงประชาชน แต่หมายถึงกลุ่มทุนพลังงานเพื่อนพ่อหรือไม่ จึงดูราบรื่นไปหมดแบบนี้” ส่วนข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีเอกชนในการฟ้องต่อศาลปกครองในเรื่องนี้เลยนั้น คำตอบคือ เงื่อนไขพิสดาร ในการล็อกโควตาซื้อไฟฟ้าเฟสสอง และยังมีการกำหนดว่า เอกชนที่จะยื่นเสนอ จะต้องไม่เป็นเอกชนที่ฟ้องร้องหน่วยงานรัฐอยู่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการขู่และปิดปากเอกชน พอหากมีการฟ้องร้อง จะไม่ได้รับสิทธิ์จากโควตาที่ล็อกไว้ให้
และแม้ว่าต่อมา จะมีการยกเลิกเรื่องการฟ้องร้องออกไปแล้วนั้น แต่การกระทำเช่นนี้ ได้บรรลุวัตถุประสงค์เรียบร้อย จนการลงนามในสัญญาสำเร็จ รวมถึงมีการสานต่อโครงการในเฟสต่อไปแล้ว
ดังนั้น ความผิดของนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ที่สานต่อนโยบายค่าไฟแพง ปล้นคนไทยทุกคนผ่านบิลค่าไฟ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีและครอบครัว มีดังนี้ 1.เดินหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าเฟสสอง 3,600 เมกะวัตต์ ที่ทุจริตนโยบาย 2.เร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การรับซื้อไฟฟ้าเฟสแรกรอบ 5,200 เมกะวัตต์ ให้เพื่อนสนิทนายกรัฐมนตรี และพ่อ
“สำหรับผม ความเสียหายที่สุด สำหรับประเทศไทย ในการที่นายกรัฐมนตรีสานต่อขบวนการค่าไฟแพง คือการสานต่อกลุ่มทุนผูกขาดให้เติบโต แข่งขันกันหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐ แข่งขันหารายได้จากการผูกขาด หาประโยชน์จากคนในชาติด้วยกันเอง และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร สานต่อทุจริตนโยบาย เอาค่าไฟของคนทั้งประเทศ ไปแลกกับดีลของพ่อ หรือคนในครอบครัว ผมขอเป็นตัวแทนประชาชน หยุดการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาล ยุติการปล้นจากกระเป๋าคนไทย โดยบิลค่าไฟ”
นายวันมูหะมัดนอร์ จึงแย้งว่า ในญัตติมีการขีดค่าคำว่าพ่อออกไปแล้ว ไม่ควรจะพูด จะพูดว่าเป็นดีลของรัฐบาลก็ได้
ด้าน นางสาวรักชนก ศรีนอก สส.กทม.พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นขอประท้วงประธานสภาด้วยว่า อยากให้ประธานวางตัวเป็นกลาง และควบคุมการประชุม โดยตั้งแต่ที่เราประชุมกันมาตั้งแต่เช้า ท่านประธาน ได้สร้างมาตรฐานที่มันต่ำลง ๆ ให้กับสภาแห่งนี้
ก่อนที่นายวันมูหะมัดนอร์ จะปิดไมค์นางสาวรักชนก และกล่าวว่า ตนเองไม่อาจให้พูดได้ว่าประธานวางมาตรฐานให้ต่ำ ตนเองดูข้อบังคับซึ่งตามข้อ 69 ก็มีหลายอย่างที่ถือว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตนเองก็ปล่อยไปบ้าง แต่เขาไม่ได้ยกเว้นว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะไม่ต้องใช้ข้อบังคับที่ 69 เขายกเว้นเรื่องการเอาภาพ เอารูปมา ไม่ต้องให้ประธานดูก่อน ตนเองไม่อาจทำให้สภาตกต่ำได้ เพราะตนเองอยู่ในสภานี้มานาน ตนเองต้องรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี ของสภา ตนเองไม่อาจอาจจะยอมให้ใครมาทำลายศักดิ์ศรีสภาได้”เพราะฉะนั้น คุณนั่งลง ผมว่าไม่ใช่ประเด็นแล้ว คุณนั่งลงได้ ผมวินิจฉัย