นายกรัฐมนตรี ย้ำความเป็นอิสระในการทำงาน ทุกนโยบายคำนึงถึงผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก มองเนื้อหาอภิปราย 2 วัน เป็นประโยชน์ สิ่งที่กระทบกระทั่ง ถือเป็นเรื่องปกติ เชื่อน่าจะทำงานร่วมกันต่อไปได้
เมื่อวันที่ 25 มี.ค.68 เวลา 21.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ กรณีฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ตลอดระยะเวลาสองวันของการอภิปรายคิดว่าทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ เต็มความสามารถ เนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ก็จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชน สิ่งที่กระทบกระทั่งก็ถือว่าเป็นปกติ และน่าจะทำงานร่วมกันต่อไปได้
ในเรื่องของภาวะผู้นำและการถูกครอบงำ นายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ ส่วนตัวเคารพและให้เกียรติผู้นำฝ่ายค้านและไม่เคยรู้สึกเช่นนั้น ไม่เคยพูดหรือสงสัย ทั้งสองฝ่ายมีอายุใกล้กัน เส้นทางทางการเมืองก็มีความคล้ายกัน คงจะต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด การด้อยค่าคนอื่นไม่ควรทำ ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะนำข้อแนะนำมาใช้พิจารณา เพราะว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ และถูกยอมรับในวงกว้าง ทั้งในและต่างประเทศ และถ้าเป็นประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชน มั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดี
ส่วนประเด็นอุยกูร์ ตอนนี้ยังไม่มีกฎหมายของผู้ลี้ภัย เมื่อมีการลักลอบเข้าเมืองก็ถูกดำเนินคดีตามขั้นตอน โดยยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน ซึ่งประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศแม่ได้ขอรับตัว และทวงถาม ขณะที่ประเทศที่สามยังไม่เคยมีการมาทวงถาม หรือขออย่างเป็นทางการ โดยได้ติดต่อกับจีนเรียกร้องและให้รับประกันถึงความปลอดภัยอย่างจริงจังเป็นหนังสือ ซึ่งสิ่งนี้ก็เป็นถือว่าเป็นพันธสัญญาต่อสังคมโลก จึงมีส่งกลับ โดยคณะของรอง นรม. ภูมิธรรมได้เดินทางไปติดตาม ทุกคนปลอดภัย นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าคือวิธีที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่าย และที่สำคัญ ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีรับฟัง แต่สิ่งที่คิดเป็นอันดับแรก คือ คนไทยต้องการอะไร และอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศไทย นายกรัฐมนตรีเคารพทุกความคิดเห็น โดยต้องใช้เวลา ใช้การอธิบายจะทำให้ทุกประเทศเข้าใจ พร้อมขอให้มองในมิติของโลก
ในส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย ซึ่งขณะนั้นเป็นฝ่ายค้านด้วยกัน และลงสัตยาบันร่วมกันผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญหลายครั้ง แต่ไม่สำเร็จ และเมื่อเป็นรัฐบาล ได้แถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภา มีจุดยืนในการแก้รัฐธรรมนูญโดยไม่ยุ่งกับหมวด 1 และ 2 แต่ด้วยข้อกฎหมายที่ซับซ้อน ทำให้การแก้ไขทำได้ยาก มีข้อเห็นต่างจากพรรคร่วมรัฐบาลและวุฒิสภา ทั้งในเรื่องกฎหมายการทำประชามติและจำนวนครั้งในการทำประชามติ แต่รัฐบาลยังพยายามเดินไปข้างหน้า โดยนายกรัฐมนตรีแสดงภาวะผู้นำอยู่ตลอด โดยไม่ต้องเรียกร้อง มีการหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลตลอดในทุก ๆ นโยบายที่ต้องหารือกัน มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่างให้ชัดเจน จนล่าสุด พรรคร่วมรัฐบาลที่เคยไม่เข้าร่วมการประชุมก็ลงมติเห็นชอบร่วมกันนำเรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญ โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า แม้ว่าจะช้าไปบ้าง ไม่ทันใจ แต่ก็เป็นโอกาสชัดเจนแห่งความสำเร็จ