“ณัฐพงษ์” โพสต์ย้ำหลังลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมทวง 7 คำถามที่ “แพทองธาร” ยังไม่ได้ตอบ ชี้นายกฯ วางแผนเพื่อหนีภาษี ละเว้นหนีหน้าที่ ทำตัวหนีความจริง จึงไม่อาจไว้ใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้
เมื่อวันที่ 26 มี.ค.68 นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โพสต์หลังโหวตการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า “[ นายกฯ แพทองธาร หนีภาษี หนีหน้าที่ หนีความจริง ทวง 7 คำถามที่ไม่ยอมตอบ ]
ผมได้กล่าวสรุปปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า คุณแพทองธาร ชินวัตร หนีภาษี หนีหน้าที่ หนีความจริง ไม่อาจไว้ใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้
โดยในการชี้แจงครั้งสุดท้าย นายกรัฐมนตรีได้เปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาว่าพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยมีหัวอกเดียวกัน เพราะต่างถูกนิติสงครามเล่นงานและถูกยุบพรรคอย่างไม่เป็นธรรม แต่ผมอยากตั้งคำถามว่า แล้วนายกฯ จะการเมืองไทยออกจากปัญหานี้อย่างไร นายกรัฐมนตรีบอกสั้นๆ แค่ว่ามีนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่กลับไม่ลงมือทำเหมือนที่พูดไว้เลย และอย่าอ้างเรื่องข้อกฎหมายว่ามีข้อเห็นต่างกันเรื่องการประชามติ เพราะใครก็รู้ว่าเป็นการหาเหตุผลทางกฎหมายมาบังหน้าเหตุผลทางการเมือง
ที่ผ่านมาทั้งในการอภิปรายและการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ผมกล่าวถึงปัญหา “ภาวะความเป็นผู้นำ” ของนายกฯ น้อยครั้งมาก แต่เลือกใช้คำว่านายกฯ ขาด “คุณสมบัติ” ที่จำเป็นในการดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ 3 ด้าน คือ ขาดความรู้ความสามารถ ขาดวุฒิภาวะ และขาดเจตจำนงทางการเมือง
อันที่จริงแล้ว เรื่องความรู้ความสามารถสามารถพัฒนากันได้ หากพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ก็อยากชวนนายกฯ มารับฟังปัญหาจากสภาผู้แทนราษฎรบ่อยๆ ส่วนวุฒิภาวะก็ยังสามารถปรับปรุงกันได้หากพร้อมเปิดใจรับฟังข้อวิจารณ์ แต่คุณสมบัติเรื่องเจตจำนงทางการเมืองนั้นเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้ ผมขอถามนายกฯ ด้วยความเคารพว่า เหตุผลที่มาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตอนนี้คืออะไรกันแน่
เมื่อเวลา 15:50 น. ของวันที่ 25 มีนาคม นายกฯ ใช้เวลาเล่าประวัติชีวิตส่วนตัวที่ผ่านมาตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 ราวกับว่ามีแต่ตัวเองและครอบครัวชินวัตรเท่านั้นที่เป็นผู้ถูกกระทำ ทั้งที่ประชาชนคนไทยทั้งประเทศก็เผชิญสถานการณ์และผลพวงรัฐประหารเช่นเดียวกัน ถ้าจะใช้ความเป็นบุตรสาวของทักษิณมาอ้าง ผมก็อยากให้นายกรัฐมนตรีลองนึกถึงบุตรสาวของคนเสื้อแดงดูบ้าง ว่าพวกเขารู้สึกอย่างไร เจ็บปวดแค่ไหนกับจุดยืนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยวันนี้
สำหรับผม ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมา 20 ปีหากให้พูดแค่สองประโยคว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง สามารถสรุปได้ว่า “เมื่อ 20 ปีที่แล้วประเทศไทยสูญเสียทุกอย่างเพื่อเอาทักษิณออกนอกประเทศ แต่ 20 ปีถัดมาประเทศไทยกำลังจะสูญเสียทุกอย่างไปอีกครั้งเพื่อเอาทักษิณกลับมา”
เพราะข้อเท็จจริงก็คือ วันนี้กลายเป็นพรรคของท่านไปร่วมขบวนการกับกลุ่มสนับสนุนรัฐประหาร ประเทศไทยกำลังจะสูญเสียทุกอย่างไปอีกครั้ง เพื่อเอาทักษิณ ชินวัตร กลับมา ไม่ว่าจะเป็นนิติรัฐ นิติธรรม หลักการประชาธิปไตย และการสยบยอมต่อกลุ่มทุนผูกขาด นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามสื่อสารมาตลอดสองวันว่า ดีลแลกประเทศคืออะไร
ในการอภิปรายสองวันที่ผ่านมา นายกฯ และคณะรัฐมนตรีพยายามโยนคำถามกลับมาทางพวกผม กล่าวหาว่ามีแต่การประดิษฐ์วาทกรรม ใส่ร้ายป้ายสี ไม่ใช่การเมืองสร้างสรรค์ แต่ผมอยากให้กลับมาตั้งต้นที่หลักการให้ชัด ว่านี่ไม่ใช่ญัตติทั่วไป แต่เป็นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
เมื่อท่านถูกกล่าวหาก็ควรชี้แจงกลับให้ประชาชนรับฟัง แต่รัฐบาลกลับโยนข้อกล่าวหากลับมาให้พวกผม เบี่ยงประเด็นจากเรื่องที่ควรชี้แจง มันถูกต้องแล้วหรือ มันเป็นตรรกะย้อนแย้ง นี่เป็นสิ่งที่นายกฯ พึงกระทำหรือ การแสดงออกของนายกฯ สองวันนี้ ประชาชนจะตัดสินเองว่าขาดคุณสมบัติการเป็นผู้นำทั้งสามข้อดังที่เราวิจารณ์ไว้หรือไม่
ต่อประเด็นที่มีการชี้แจงกลับมานั้น ประการแรกผมขอตอบ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าไม่มีการอภิปรายเรื่องใหม่ๆ ความจริงข้อมูลใหม่มีหลายเรื่อง แต่หากจะคิดในกรอบว่ามีแต่เรื่องที่เกิดขึ้นมาก่อนคุณแพทองธารมาดำรงตำแหน่งนายกฯ เท่านั้น คำถามคือถ้ามันเป็นเรื่องที่ผิดและยังผิดอยู่ แล้วทำไมท่านถึงไม่แก้
ทั้งเรื่องสัมปทานทางด่วน ค่าไฟแพง เหมืองทองอัครา ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา แต่เมื่อท่านมีอำนาจแล้ว ทำไมไม่ยืนยันว่าจะแก้ไข ไม่บอกวิธีแก้ปัญหา มีแต่บอกว่าเป็นเรื่องเก่า ตกลงจะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ ได้แต่บอกว่าเป็นปัญหาเดิม แล้วเราจะมีผู้นำไว้ทำอะไร
อีกประเด็นที่นายกฯ เริ่มใหม่ คือการอธิบายคำว่า “ดีล” ว่าเป็นเรื่องปกติในโลกการเมือง แต่สาระสำคัญของการอภิปรายกันสองวันที่ผ่านมาคือ จะดีลจะต่อรองอย่างไรให้โปร่งใสและประชาชนได้ประโยชน์ เหตุและผลในการตัดสินใจทำนโยบายแต่ละอย่างคืออะไร ที่ต้องโกหกประชาชนผิดคำสัญญาไว้เกิดขึ้นเพราะอะไร คุณแพทองธารก็ไม่เคยเอาเหตุผลจริงๆ มาคุยกัน หรือเพราะท่านพูดไม่ได้ เพราะดีลนั้นมันไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ในประเทศนี้ แต่เป็นไปเพื่อครอบครัวและกลุ่มทุนใกล้ชิดเท่านั้น
นอกจากนี้ ผมขอสรุปประเด็นสำคัญที่เพื่อน สส. พรรคประชาชนยกขึ้นมาอภิปราย และยังไม่ได้รับคำตอบจากนายกฯ 7 คำถาม
(1) เรื่องภาษีการรับให้ที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร เป็นผู้อภิปราย นายกฯ ชี้แจงว่าวางแผนที่จะจ่ายอยู่แล้ว และพยายามสื่อว่าเป็นการบริหารภาษี แต่ถ้าวิโรจน์ไม่ลุกมาถามเรื่องนี้ในสภา นายกฯ วางแผนจะจ่ายภาษีเมื่อไหร่กันแน่ หรือจะรอไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนด
อย่างไรก็ดี คำถามที่สำคัญกว่าคือ คุณแพทองธารกำลังส่งสัญญาณอะไรให้สังคมไทย ถ้าทุกคนที่เป็นนักธุรกิจทำแบบเดียวกันนายกฯ โอนหุ้นให้บุคคลในครอบครัวด้วยวิธีการเดียวกับคุณแพทองธารทุกคน ลองถามสามัญสำนึกของวิญญูชนดู ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าทุกคนทำเหมือนนายกฯ ประเทศไทยจะจัดเก็บภาษีมรดกได้ 0 บาท สำหรับผมประเด็นนี้ต่อให้สุดท้ายทำได้ถูกกฎหมายก็ยังเรียกได้ว่าเป็น “ธุรกรรมอำพรางวางแผนเพื่อหนีภาษี” ของครอบครัวผู้นำประเทศ
(2) เรื่องปลาหมอคางดำ ที่อภิปรายโดย ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ นายกฯ ก็ย้ำอีกทีว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนมารับตำแหน่ง แถมยังตั้งงบประมาณไว้ 98 ล้านบาท แต่คำถามที่ณัฐชาถามต่อนายกฯ ไม่ได้ถามว่าจะใช้งบประมาณกี่บาท แต่ถามว่าเมื่อไหร่ที่รัฐบาลชุดนี้จะบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เอาบริษัทที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้มาร่วมรับผิดชอบ กลุ่มทุนที่เรากล่าวหาว่ามีความใกล้ชิดกับรัฐบาลทำไมไม่เคยถูกดำเนินคดีใดๆ แต่กลับต้องเอาภาษีของประชาชนไปรับผิดชอบความผิดของกลุ่มทุนนั้น เป็นอีกเรื่องที่นายกฯ ไม่ยอมตอบคำถามที่สังคมอยากฟัง
(3) เรื่องฝุ่น pm 2.5 ที่ สส. ภัทรพงษ์ ลีลาภัทร์ ติดตามมาตลอดเป็นผู้อภิปราย นายกฯ ก็เลือกแสดงข้อมูลด้านบวกจากตัวเลขแบบไม่รอบด้าน ทั้งยังภูมิใจว่ารัฐบาลจัดการกับปัญหาฝุ่นได้ดี แต่สิ่งที่ภัทรพงษ์ตั้งคำถามคือ เมื่อไรจะใช้ตัวชี้วัดปัญหาให้ถูกต้องและเป็นสากล เพื่อจะได้อยู่ในความจริงเดียวกันกับคนไทยทั้งประเทศ เพราะข้อมูลดาวเทียมจากทั้งต่างประเทศและหลายหน่วยงานที่นายกฯ ไม่พูดถึง ต่างชี้ให้เห็นว่าพื้นที่การเผาไหม้เพิ่มขึ้น ปัญหาฝุ่นหนักขึ้น การตั้งตัวชี้วัดให้ถูกต้องคือการเริ่มต้นที่ถูกจุด ไม่เช่นนั้นท่านก็จะหนีความจริงไปเรื่อยๆ หยิบเอาแต่ตัวเลขที่ดีขึ้นมาหลอกประชาชน
(4) เรื่องค่าไฟที่ วรภพ วิริยะโรจน์ และ ศุภโชติ ไชยสัจ ตั้งคำถามต่อนายกฯ ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ว่าจะเอาอย่างไรกับปัญหาค่าไฟแพง แต่นายกฯ ก็ใช้กระบวนท่าเดิม ตอบเบี่ยงว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยอนุมัติให้ซื้อไฟเพิ่ม ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เราถาม เราถามว่า ท่านจะเอาอย่างไรกับการแก้แผน PDP ของประเทศที่ประมาณการความต้องการไฟฟ้าสูงเกินจริงมาตลอด ทำให้ต้องมีโรงไฟฟ้าสำรองมากเกินจริง เสียค่าพร้อมจ่ายเกินจริง และมีค่าไฟแพงเกินสมควรมาตลอด ท่านจะยังสืบสานสิ่งที่ผิดๆ อยู่ต่อไปหรือ ทำไมไม่แก้ให้ถูกต้อง เพราะเมื่อคนไทยเห็นแต่ข่าวคุณทักษิณ ชินวัตร พ่อของนายกรัฐมนตรีไปตีกอล์ฟกับนักธุรกิจพลังงาน ก็พากันตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
(5) เรื่องโรงแรม เทมส์ วัลเลย์ ที่เขาใหญ่ที่ ธีรัจชัย พันธุมาศ อภิปรายมีสองประเด็นใหญ่ๆ คือ การออกโฉนดโดยมิชอบและการประกอบธุรกิจโรงแรมที่ผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 24 มีนาคม รัฐมนตรี วราวุธ ศิลปอาชา ได้มาตอบเรื่องโฉนดที่ดิน ซึ่งยังต้องตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลว่าพื้นที่ต้นน้ำเป็นอย่างไรกันแน่ และผมก็เชื่อว่าข้อมูลของพวกผมนั้นถูกต้อง แต่อีกเรื่องหนึ่งคือการชี้แจงว่าทางหน่วยงานได้ออกใบอนุญาตที่แห่งนี้ในการประกอบธุรกิจโรงแรมเมื่อปี 2562 ในขณะที่ธีรัจชัยอภิปรายว่า โรงแรมแห่งนี้เริ่มทำธุรตั้งแต่ปี 2557 คำถามคือตั้งแต่ 2557-2562 โรงแรมแห่งนี้ประกอบการถูกกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่ได้รับคำตอบ
(6) กรณีการรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจของคุณทักษิณ ชินวัตร ที่อภิปรายโดย รังสิมันต์ โรม แน่นอนว่ากรณีนี้เกี่ยวเนื่องมาจากรัฐบาลชุดก่อน แต่สิ่งที่รังสิมันต์ได้แสดงข้อมูลให้ประชาชนทั้งประเทศเห็นก็คือ นายกฯ อยู่ในฐานะพยานรู้เห็นเป็นใจกับสถานะของพ่อตัวเองมาตลอด และสิ่งที่เราอยากได้คำตอบก็คือ ตกลงแล้วทักษิณป่วยเป็นอะไรกันแน่ที่ทำให้ได้สิทธิพิเศษในการอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
(7) ปัญหาขบวนการคอลเซ็นเตอร์ที่คนจำนวนมากยังเดือดร้อนอยู่ทุกวันทุกชั่วโมง โดย รักชนก ศรีนอก ได้อภิปรายโดยต้องการคำตอบชัดๆ ว่าข่าวที่ออกมาว่าจะมีการออก พ.ร.ก.แบ่งความรับผิดชอบกับสถาบันการเงิน เมื่อไหร่จะออกมาเสียที แต่ก็ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากนายกรัฐมนตรี
ทั้งหมดนี้คือ 7 คำถามที่คุณแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรียังไม่ตอบให้สังคมไทยได้กระจ่าง แม้ว่าจะมีเวลาเหลือให้ชี้แจงสื่อสารกับประชาชน เราเห็นแต่การทำดีลแลกประเทศเอาใจทั้งกลุ่มอำนาจเก่าและกลุ่มทุนใกล้ชิด บิดเบือนกฎหมายเปลี่ยนดำเป็นขาว
ด้วยเหตุที่ผมบอกมาทั้งหมดนี้ ผมจึงขอกล่าวหานายกรัฐมนตรี ว่าท่านจงใจทำธุรกรรมอำพรางวางแผนเพื่อหนีภาษี อิงแอบกับกลุ่มทุน เอาใจอำนาจเก่า ละเว้นการใช้อำนาจหน้าที่ของตัวเองในฐานะนายกรัฐมนตรี เป็นคนที่ไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา เลือกหยิบแต่ตัวเลขดีๆ มาหลอกสังคม
ท่านวางแผนเพื่อหนีภาษี ละเว้นหนีหน้าที่ ทำตัวหนีความจริง จึงไม่อาจไว้ใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปได้