“จุลพันธ์” เผย รัฐบาลเตรียมส่ง “มนพร” เจรจาสภาฯบรรจุวาระเร่งด่วน “ร่างพ.ร.บ.สถานบันเทิงครบวงจร” หวังดันเข้าให้ทันสมัยประชุมนี้ ยอมรับกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดึงคนเล่นพนันเข้าระบบ ยกโมเดล “สิงคโปร์” เทียบลงทุนไม่ต่ำ 2 แสนล้าน
วันที่ 27 มี.ค.2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ. …. หรือ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ (Entertainment Complex) ว่า รัฐบาลจะเร่งเสนอร่างกฎหมายที่ผ่านการเห็นชอบจากครม. ไปยังสภาผู้แทนราษฎร เป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อบรรจุวาระ และพิจารณาในวาระที่ 1 ก่อนตั้งคณะกรรมาธิการต่อไป ทั้งนี้ยอมรับว่า ที่ผ่านมา ร่าง พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งแก้ไขเนื้อหาหลายส่วน ทั้งการกำกับ ควบคุม และการกำหนดโทษ โดยกฎหมายฉบับนี้ ถือว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศ เพราะจะมีเงินลงทุนอย่างน้อย 1 แสนล้านบาทต่อจุด รวมไปถึงเงินได้จากภาษี ค่าธรรมเนียม เงินที่ประชาชนจะได้รับจากการจ้างงาน และกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านต่าง ๆ ทั้งโรงแรม การท่องเที่ยวด้วย
“สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ที่มีมูลค่ามหาศาลจากการมีสถานบันเทิงครบวงจร ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่เรื่องการทำกาสิโน แต่จะเป็นการสร้างสถานบันเทิงครบวงจร ที่เป็น Man-made Tourist Destination เป็นโมเดลทางธุรกิจขนาดใหญ่ เหมือน ดูไบ ญี่ปุ่น ซึ่งเรามองภาพประเทศไทยในอนาคตว่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นระดับโลกมากขึ้น ทั้งร้านอาหาร สวนสนุกขนาดใหญ่ สนามกีฬาอินดอร์ขนาดใหญ่ โดยการลงทุนขนาดใหญ่ที่จะดึงเอกชนมาร่วมลงทุน สร้างรายได้ใหม่ ถือเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศไทย” นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า หน้าที่ต่อไปจะเป็นหน้าที่ของสภาฯ และวุฒิสภา โดยจะต้องดูว่ามีการแก้ไขอย่างไรกับกฎหมายฉบับนี้ เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวต่อไปในอนาคต เบื้องต้นไทม์ไลน์ของการเสนอกฎหมายนั้น ขณะนี้เหลือเวลาอีก 2 สัปดาห์ คือวันที่ 2-3 เม.ย. และ 9-10 เม.ย.นี้ จะมีการประชุมสภาฯ รัฐบาลจึงได้เสนอรัฐสภาให้บรรจุเป็นเรื่องเร่งด่วน และจะเร่งผลักดันกฎหมายออกมาให้เร็วที่สุด
“ได้คุยกับ นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม ในฐานะวิปของครม.จะไปเจรจากับทางสภาว่า จะมีทางเลื่อนระเบียบวาระให้เร็วขึ้น เพื่อจะเข้าได้ทันสมัยประชุมนี้ จากนั้นจึงตั้งกรรมาธิการเพื่อพิจารณารายละเอียดในชั้นนี้ ก่อนจะเข้าวาระ 2-3 ต่อไป”นายจุลพันธ์ กล่าว
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดของร่างกฎหมายจากการเปิดรับฟังความคิดเห็นรอบล่าสุด ได้มีการนำเสนอความคิดเห็นต่อร่างกฎหมายเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเด็นการกำหนดให้บุคคลสัญชาติไทยซึ่งจะเล่นพนันในกาสิโนต้องมีเงินฝากในบัญชีเงินฝากประจำไม่น้อยกว่า 50 ล้านบาท ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน ซึ่งที่ผ่านมาเคยระบุว่าขัดกับวัตถุประสงค์ของการแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมาย หากไปกำหนดให้มีเงินในบัญชีเกิน 50 ล้านบาท จะมีคนไทยที่มีบัญชีเงินฝากเกิน 50 ล้านบาท แค่เพียง 1 หมื่นบัญชีเท่านั้น และที่เหลืออาจมีความเสี่ยงเล่นการพนันที่ผิดกฎหมาย ซึ่งกรณีนี้คงไปคุยกันในขั้นกรรมาธิการ
เมื่อถามว่ามีข้อสังเกตว่าเมื่อกฎหมายออกมาแล้วจะทำให้มีคนไทยติดการพนันเพิ่มขึ้น รมช.คลัง กล่าวว่า เราเป็นรัฐบาลที่อยู่กับความเป็นจริง และมองข้อเท็จจริงว่าคนไทยจำนวนมากก็เล่นการพนันที่ประเทศเพื่อนบ้าน หรือเล่นพนันที่ผิดกฎหมาย ดังนั้นกลไกนี้จึงเป็นการดึงคนเหล่านี้เข้ามาในระบบ และสามารถติดตาม กำกับ ช่วยเหลือดูแลคนกลุ่มนี้ต่อไป ส่วนการเยียวยามีการกำหนดไว้ในกฎหมาย แต่ไม่ได้อยู่ในรูปแบบของกองทุน เพราะจะติดข้อกฎหมายเกี่ยวกับวินัยการเงินการคลัง โดยเรื่องดังกล่าวคงต้องหารือกันในขั้นตอนของสภา
นายจุลพันธ์ กล่าวว่า ส่วนการคัดเลือกเอกชนเข้ามาลงทุน หากกฎหมายผ่านสภา จะมีการตั้งสำนักงานขึ้นมา โดยมีองค์ประกอบคณะกรรมการ ทั้งฝ่ายนโยบาย และฝ่ายบริหาร จากนั้นจะเริ่มต้นขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) โดยเฉพาะการกำหนดพื้นที่ที่จะตั้งสถานบันเทิงครบวงจรว่ามีกี่จด และพื้นที่ใดที่มีศักยภาพ เมื่อศึกษาเสร็จสิ้น จึงเปิดประมูลเพื่อจัดหาเอกชนเข้ามาลงทุน โดยคณะกรรมการจะดูเรื่องของความเหมาะสมด้านต่าง ๆ ของการลงทุน รวมทั้งตรวจสอบประวัติของเอกชนว่าเป็นอย่างไร แล้วจึงออกใบอนุญาตต่อไป
เมื่อถามว่าการประเมินผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการผลักดันสถานบันเทิงครบวงจร รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลได้ประเมินตัวเลขเงินลงทุนเทียบเคียงกับสิงคโปร์ เมื่อ 20 ปีก่อน มีเงินลงทุนใน 1 พื้นที่ มีเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกว่า 7,000 ล้านดอลลาร์ หรือว่า 2 แสนล้านบาท โดยในปีที่แล้ว สิงคโปร์ได้อนุมัติให้ต่ออายุสัญญา และกำหนดให้ลงทุนเพิ่มอีก 8,000 ล้านดอลลาร์ หรือว่า 2.8 แสนล้านบาท ดังนั้นในส่วนของประเทศไทยนั้น เชื่อมั่นว่า เงินลงทุน 1 แสนล้านบาทในประเทศไทยจึงเกิดขึ้นได้ รวมไปถึงเงินจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกทั้งการจ้างงาน ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง และการท่องเที่ยว เบื้องต้นในด้านการท่องเที่่ยว เมื่อคำนวณตัวเลขจากโมเดลทางด้านเศรษฐกิจพบว่า การมีสถานบันเทิงครบวงจรจะเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ได้อีก 40% หรือจากเดิมที่มีการใช้จ่ายเฉลี่ย 40,000 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มเป็น 60,000 บาทต่อคนต่อทริปด้วย ซึ่งตัวเลขดังกล่าวอ้างอิงโมเดลจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์.