“หัวหน้าผู้ออกแบบสร้างรัฐสภา” ยื่นค้านปรับปรุงสภา-ถมสระมรกต หวั่นกระทบโครงสร้าง ทำอากาศไม่ไหลเวียน ต้องใช้งบอีกมหาศาล ติดแอร์-จ่ายค่าไฟ ย้อนถามใช้งบ 100 กว่าล้านทำห้องสมุด ใช้คุ้มหรือยัง ลั่นศาลาแก้วมีฉนวณกันความร้อน ใช้ประโยชน์ได้แน่นอน หวั่นน้ำท่วมหากขุดใต้ดินทำที่จอดรถเพิ่ม
วันที่ 8 พ.ค.2568 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา คณะกรรมาธิการการ(กมธ.)ศาสนา คุณธรรม จริยธรรม ศิลปะและวัฒนธรรม วุฒิสภา นำโดย นายชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ สว. ในฐานะรองประธานกมธ.ฯ และประธานคณะอนุกรรมาธิการด้านศิลปะสร้างสรรค์ รับหนังสือจากนายชาตรี ลดาลลิตสกุล ศิลปินแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าสถาปนิกผู้ออกแบบอาคารรัฐสภา เพื่อขอคัดค้านการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบของอาคารรัฐสภา โดยนายชาตรี กล่าวว่า ขอคัดค้านการที่ รัฐสภาได้จัดทำงบประมาณจากปิดสระมรกต เพื่อสร้างเป็นห้องสมุด และร้านค้าเพื่อบริการประชาชน โดยอ้างสาเหตุหลักมาจากปัญหาน้ำรั่วซึมและเกิดปัญหาน้ำเน่ายุงชุม ซึ่งขอชี้แจงว่า สระมรกต ถูกออกแบบและมีระบบการกรองแบบสระว่ายน้ำ หากดูแลตามปกติวิสัย มีการเปิดระบบให้น้ำไหลเวียนทุกวันตามมาตรฐานไม่สามารถเกิดยุงได้อย่างแน่นอน และ เรื่องสระรั่วซึม เป็นเรื่องคุณภาพการก่อสร้างควรเป็นความรับผิดชอบของผู้รับเหมาเนื่องจากอยู่ในระยะประกันผลงาน และเพิ่งตรวจรับงานไม่นาน จึงไม่จำเป็นต้องเอาปัญหา ของผู้รับเหมามาเป็นของตัวเอง
เมื่อถามว่าแนวคิดที่จะย้ายห้องสมุดจากชั้น 9-10 ลงมาชั้นหนึ่ง นายชาตรี กล่าวว่า ไม่สมเหตุสมผล สิ้นเปลืองงบประมาณโดยไม่จำเป็น เนื่องจากห้องสมุดดังกล่าว ใช้งบประมาณถึง 100 กว่าล้าน และยังไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่ และพื้นที่ดังกล่าวเชื่อมโยงกับหอจดหมายเหตุที่อยู่ชั้น 8 และผู้ที่ใช้งานห้องสมุด ส่วนใหญ่เป็น สส. และสว. และข้าราชการสภา หากต้องการให้ประชาชนเข้าถึงได้ง่าย ก็ไม่ควรย้ายมาบริเวณสระมรกต ควรสร้างนอกอาคาร อีกทั้งการที่ใช้พื้นที่สระมรกต ทำห้องสมุด อาจจะกระทบกับโครงสร้างที่ออกแบบไว้ได้เนื่องจากห้องสมุดมีน้ำหนักมากพอสมควร
“ยืนยันว่าไม่เห็นด้วยกับการถมพื้นที่สระมรกต เนื่องจากตอนออกแบบ ต้องการให้อาคารรัฐสภา เป็นอาคารประหยัดพลังงาน ระดับดีเด่น (แบบตู้กับข้าว) มีช่องลมให้อากาศพัดผ่านในทุกทิศ และแสงที่ส่องผ่านลงมากระทบผนัง เสาสระน้ำ และอาคาร เจาะจงให้แสงเข้ามาน้อยเพื่อให้บรรยากาศที่สงบ ร่มเย็นและมั่นคง อาศัยเทคนิคการปรับเย็น โดยวิธีธรรมชาติ สูงขึ้น เป็นหลักในพื้นที่โถงและทางเดินโดยอาคารจะถูกเจาะให้เป็นรูพรุนด้วยช่องลมทุกชั้นทุกทิศทางเพื่อให้ลมพัดความร้อนออกจากอาคาร เป็นที่สังเกตว่า อากาศในส่วนนี้จะมีสภาวะ น่าสบาย แม้อากาศภายนอกจะร้อนมากในฤดูร้อนก็ตาม แต่หากถมสระ เพื่อสร้างห้องสมุด จะต้อง ปิดแอร์ทั้งหมด ซึ่งผมนึกไม่ออกว่าพื้นที่โล่ง 10 ชั้นจะต้องใช้งบประมาณ ขนาดไหน ทั้งในการติดแอร์และปิดช่องต่างๆ ขณะเดียวกันในแต่ละเดือนจะต้องมีค่าไฟอีกจำนวนมหาศาล”นายชาตรี กล่าว
นายชาตรี กล่าวว่า สำหรับศาลาแก้ว ที่จะมีการของบประมาณจำนวนมากในการปรับปรุงนั้น ตนก็ขอคัดค้านเช่นกัน เพราะเป็นการออกแบบมาสำหรับใช้ในงานพิธีสำคัญ เช่นพิธีทำบุญเทศกาลต่างๆของรัฐสภา แต่ที่ตั้งพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 7 ซึ่งขณะนี้ยังก่อสร้างอยู่นั้น ไม่ได้อยู่ในแบบ และที่ไม่ได้ติดแอร์ศาลาแก้ว แต่สามารถใช้งานได้จริง เพราะออกแบบให้มีผ้าใบที่เคลือบด้วยอะลูมิเนียม ที่สะท้อนแสงกันความร้อนที่สามารถเลื่อนติดกระจกปิดกระจกให้ทึบได้ด้วยระบบไฟฟ้า โดยอากาศระหว่างระบบผ้าใบจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกันความร้อนอีกชั้นหนึ่ง และศาลาอยู่ในที่โล่ง ลมพัดสะดวก ถูกออกแบบมาให้ลดอุณหภูมิโดย สระน้ำที่อยู่โดยรอบ งานออกแบบนี้ไม่ได้สร้างขึ้นเพียงแค่เหตุผลการใช้งาน แต่มีเป้าหมายให้เป็นปฏิมากรรมสัญลักษณ์ที่แสดงถึงจิตวิญญาณ ภูมิปัญญาสถาปัตยกรรมไทย และเป็นภาพจำหนึ่งของความเป็นไทยร่วมสมัยให้สังคมสถาปัตยกรรมโลก
เมื่อถามว่าตอนรับมอบเป็นไปตามสเปกหรือไม่ จนต้องของงบประมาณเพิ่ม เพื่อปรับปรุง นายชาตรี กล่าวว่า งานออกแบบของเราใช้งบประมาณ 11,000 กว่าล้านบาท แต่เมื่อมีการปรับแบบ อย่าใช้งบประมาณ 12,000 กว่าล้านบาท แต่นอกเหนือจากนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเราเลย และไม่ได้เห็นด้วยในหลายหลาย ๆ เรื่อง แต่เป็นโครงการที่อยู่นอกสัญญาหลัก ซึ่งเป็นวิธีที่รัฐสภาทำ หากถามว่าตรงตามสเปคหรือไม่ก็เหมือนกับงานก่อสร้างทั่วไปที่ปัญหามากมาย ซึ่งการก่อสร้าง ใช้ทีมงานแบบเต็มทีมเหมือนก่อสร้างตึกของสตง. มีที่ปรึกษา และมีผู้รับผิดชอบ ส่วนผู้ออกแบบท่าได้รับเชิญก็ไป แต่ 3-4 เดือนสุดท้ายก่อนที่จะรับมอบงาน พวกตนไม่ได้รับเชิญ
เมื่อถามว่าส่วนที่ต่อเติมนอกเหนือจากแบบขึ้นมาถือว่าผิดกฎหมายหรือไม่ นายชาตรี กล่าวว่า ไม่ถือว่าผิดกฎหมายเพราะการรับจ้างออกแบบ รัฐถือว่าเป็นการรับจ้างทำของ และเมื่อเป็นของรัฐ รัฐก็มีสิทธิ์ แต่ในฐานะผู้ออกแบบ ช่วยให้ความเคารพ กับงานของเราและปรึกษาเราหน่อย
เมื่อถามว่ารายละเอียด แต่ คนที่ทำจะต้องระวังเรื่องน้ำท่วม เพราะอาคารรัฐสภาที่ทำไว้แล้ว ได้มีการออกแบบป้องกันน้ำท่วมชั้นใต้ดินระดับ 4 เมตร และเมื่อปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วมใหญ่อยู่ระดับ 2.5 เมตร ดังนั้นน้ำไม่ท่วมแน่นอน แต่พื้นที่บริเวณถนนสามเสนต่ำ หากเดินจากลานประชาชนเข้าไป จะพบประตูหนึ่งซึ่งเป็นประตูกันน้ำ ดังนั้น ณ วันนี้ต่อให้น้ำท่วมกรุงเทพฯ รัฐสภาก็ไม่ท่วมยืนยันได้ และความจริงในเรื่องที่จอดรถตอนที่ออกแบบก่อสร้าง เราทราบว่า ไม่เพียงพอ จึงได้ ประสานกับทางทหารฝั่งสามเสนและวัดแก้วฟ้าฯ เพื่อ ไม่ขอใช้ที่จอดรถเพิ่มแต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ซึ่งตอนเสนอไปถึง 8 ครั้ง