“จตุพร” แฉยับ “ทักษิณ” ออกลาย ทำตัวเป็น “นายกฯตัวจริง” นั่งหัวโต๊ะประชุมสั่งงาน “รมต.-ขรก.” ให้ปราบยาเสพติด แถมประกาศจะยกกำลังข้ามแดนจัดการ “ว้าแดง” ที่เป็นแหล่งผลิตในพม่า หนำซ้ำยัง “สำแดงตนยิ่งใหญ่” ตำหนิ “แพทยสภาไร้จริยธรรม” เชื่อ “สมศักดิ์” วีโต้มติลงโทษ “3 หมอ” เพื่อเอาใจ “นาย” และให้อยู่ในตำแหน่งได้ปลอดภัย
เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊คไลฟ์รายการ “ประเทศไทยต้องมาก่อน” โดยระบุว่า นายทักษิณ ชินวัตร แสดงตัวเองเป็นคนยิ่งใหญ่ ราวกับเป็นนายกฯ สั่งงานรัฐมนตรีและข้าราชการระดับสูง ที่มาฟังการปาฐกถาการปราบปรามยาเสพติด ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ให้ยกกำลังข้ามชายแดนไปจัดการว้าแดง แหล่งผลิตยาเสพติดรายใหญ่ในประเทศพม่า
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ในช่วงนายทักษิณเป็นนายกฯ และประกาศสงครามยาเสพติดเมื่อปี 2546 แต่มีการ “อุ้มฆ่า” มากถึง 2,500 ศพ ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐลงมือทำกับ “ผู้ถูกกล่าวหา” ว่า “ค้ายาเสพติด” โดยหลายกรณี ผู้เสียชีวิตไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและยังกระทำกับ “หัวคะแนนฝ่ายตรงข้าม” ก็มี ดังนั้น การไปสำแดงตนที่ ปปส. พูดถึงการปราบปรามยาเสพติด จึงไม่อาจกล่าวได้ว่า เป็นผลงานที่ประสบความสำเร็จ เพราะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 2,500 ศพ แต่การค้ายาเสพติดก็ไม่จบ ดังนั้น “การฆ่า” จึงแก้ไขปัญหาไม่ได้
“ถ้าต้องการจะฆ่า ต้องไปแก้ไขกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการฆ่า หากตราบใดยังมีกฎหมายไม่ให้ฆ่าอยู่ ก็ไม่มีสิทธิ์ไปฆ่าใคร แม้เลี่ยงการอุ้มหายว่า เป็นการฆ่าตัดตอนกันเองก็ตาม”นายจตุพร กล่าวและว่า นายทักษิณพูดว่า ถ้าพม่าไม่จัดการว้าแดง แหล่งผลิตยาเสพติดรายใหญ่ในพม่าแล้ว ไทยจะไปจัดการเอง ที่สำคัญคือ ทำได้จริงหรือไม่ และจะยกกำลังข้ามไปปราบในประเทศพม่านั้น พูดกันมาหลายครั้ง ก็ยังไม่เห็นผลตามคำพูด
ส่วนที่นายทักษิณขู่ยุบ “กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” (กอ.รมน.) หากแก้ปัญหาความไม่สงบในชายแดนภาคใต้และยาเสพติดไม่ได้นั้น นายจตุพร กล่าวว่า แม้วิธีการแบบนี้ นายทักษิณเคยยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหารที่ 43 (พตท. 43) เพื่อแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้มาแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่สงบ และนับวันยิ่งรุนแรงเพิ่มขึ้น
“นายทักษิณพูดใหญ่โตว่า จะให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด ตรวจค้นในหมู่บ้านที่มีการค้ายาเสพติด และนายทักษิณจะไปเดินเล่นในต่างจังหวัด ซึ่งหมายถึง ไปค้นหาเป้าหมายผู้ค้ายาเสพติด แล้วนำข้อมูลมารายงานปลัดกระทรวงมหาดไทยให้ไปจัดการ”นายจตุพร กล่าวและว่า ดูเหมือนการพูดของนายทักษิณ ได้แสดงทั้งคำพูดและภาษากายว่า เป็นคนยิ่งใหญ่เหลือเกิน โดยมีพูดตำหนิ “แพทยสภา” ไม่มีจริยธรรม แก้ตัวไม่มีความบาดหมางในพรรคร่วมรัฐบาล แล้ววกมาพูดคาบลูกคาบดอก กรณีตนกอดกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล แม้ไม่กล้าสื่อสารให้ชัดเจน จึงเป็นการพูดของคนที่มีระดับมาตรฐานต่ำ
“นายทักษิณเลอะเทอะไปกันใหญ่ นักข่าวถามถึงการกอดกับนายสนธิ แต่กลับตอบว่า ไม่เลี้ยงเมียและลูกคนอื่น ต้องการจะบอกอะไรก็พูดให้ตรงไปตรงมา อยากจะขยายอะไร ไม่เห็นมีอะไรเลย อย่าเอาแต่พูดคาบลูกคาบดอก พูดให้ชัดเจนเลย เดี๋ยวจะเอาคืนบ้าง”นายจตุพร ระบุ
นายจตุพร กล่าวด้วยว่า เมื่อนายทักษิณจะประกาศสู้แล้ว แต่ไม่มีความชัดเจนว่าจะไปศาลฎีกานักการเมืองในวันที่ 13 มิ.ย.หรือไม่ โดยตอบคำถามเลี่ยงไปว่า จะตัดสินใจตอนเที่ยงคืนวันที่ 12 มิ.ย. แต่ถ้าเป็นคนเคารพกระบวนการยุติธรรมจริงแล้ว ไม่ควรมีคำตอบกำกวม ตีความได้หลายทางอย่างนี้ คนถ้าจะไป ก็บอกชัดเจนว่า อย่างไรก็จะไปให้ความร่วมมือกับศาลอย่างเต็มที่ และด้วยเกียรติของอดีตนายกฯ จะไม่หลบหนีเด็ดขาด (ในตอนนี้) ซึ่งก็ไม่น่าหนีเพราะยังมีเวลาอีกตั้ง 2 สัปดาห์กว่าจะถึง 13 มิ.ย.ที่ศาลนัด
ส่วนที่นายทักษิณบอก “มีคนปั่นสถานการณ์” จึงให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชะลอกลับไทยไปก่อน นายจตุพร บอกว่า นายทักษิณเป็นคนปั่นสถานการณ์คนเดียว ไม่มีคนอื่นปั่นเลย เพราะน.ส.ยิ่งลักษณ์จะกลับและเลื่อนออกไป ก็เป็นนายทักษิณพูด ที่สำคัญคนไทยยิ่งต้องการให้น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับมารับความผิด ตามคดีที่ศาลสั่งลงโทษ แล้วทำไมไม่กลับมา
นายจตุพร กลาวด้วยว่า ถ้านายทักษิณมีเหตุต้องกลับเข้าเรือนจำใหม่ ต้องไม่ลืมว่ายังมีคดี ม.112 อยู่ โดยศาลนัดพิจารณาต่อเนื่องในเดือนก.ค.นี้ ดังนั้น ในวันเบิกความ นายทักษิณคงได้ใส่ชุดนักโทษมาขึ้นศาล ซึ่งพร้อมจะรับกับสภาพแบบนี้ได้หรือไม่
ส่วนกรณีนายทักษิณมั่นใจรัฐบาลอยู่ครบวาระ 4 ปีนั้น นายจตุพร กล่าวว่า นายทักษิณมั่นใจจากอะไร และไม่เห็นวี่แววจะมีอะไรทำให้อยู่ครบวาระเลย ยิ่งถ้านายทักษิณติดคุก หรือหนีอีก ย่อมส่งผลกระทบกับเสถียรภาพรัฐบาล และสั่นกระเทือนต่อนายกฯอุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร คงอยู่ในตำแหน่งอย่างยากลำบากขึ้น
นายจตุพร ยังประเมินการตัดสินใจของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข กรณีมติแพทยสภาว่า แต่เดิมตามกฎหมายมีทางเหลือเพียงการวีโต้กับไม่วีโต้เท่านั้น แต่ล่าสุด (เมื่อ 27 พ.ค.) นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์ทำให้เข้าใจว่า จะมีทางเลือกที่ 3 เกิดขึ้นคือ ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะวีโต้หรือไม่วีโต้ เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากแพทยสภาจึงขาดหลักฐานนำมาวินิจฉัยโทษ 3 แพทย์ที่ผิดจริยธรรม
“ถ้าเลือกแบบสบายใจทางการเมืองที่สุด ก็ต้องวีโต้ หากเลือกแบบกลางๆ แบบมึนๆ เลย ก็เลือกไม่มีหลักฐานเพียงพอให้พิจารณา ซึ่งทางเลือกนี้อาจไม่มีใครคิด แต่ดูแล้วคำพูดของนายสมศักดิ์ ซึ่งมันชอบกล”นายจตุพร กล่าวทิ้งท้าย