วันเสาร์, พฤษภาคม 31, 2025
หน้าแรกHighlight“สว.”ตั้ง“กมธ.ร่วมฯ”สอบมติ“แพทยสภา” ปม“รักษาทักษิณชั้น14”ปัดเอาคืนคดีฮั้ว
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

“สว.”ตั้ง“กมธ.ร่วมฯ”สอบมติ“แพทยสภา” ปม“รักษาทักษิณชั้น14”ปัดเอาคืนคดีฮั้ว

ยังไม่จบ! ‘สว.’ ผนึกตั้งกมธ.ร่วมฯรุกสอบมติ ‘แพทยสภา’ ปม ‘ชั้น 14’ หวั่นเคส ‘เลือกปฏิบัติ’ ลามกระทบ ‘จริยธรรมแพทย์-ความเสมอภาค-กระบวนการยุติธรรม’ ปัดเอี่ยวการเมืองโยงเล่นงานคืนจากพิษ ‘คดีฮั้ว’

วันที่ 29 พ.ค.2568 ที่รัฐสภา นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสาธารณสุข วุฒิสภา แถลงกรณีการตรวจสอบข้อเท็จจริงของแพทยสภามีมติลงโทษในกรณีชั้น 14 ว่า ขณะนี้การศึกษาเรื่องกรณีชั้น 14 มีมูลเหตุจากมติของแพทยสภาครั้งที่ 5/2568 ซึ่งมีการพิจารณาเรื่องจากคดีจริยธรรมของแพทย์ที่ถูกกล่าวโทษ ว่าปฏิบัติไม่ถูกต้องตามหลักจริยธรรมและวิชาชีพเวชกรรม ในการดูแลผู้ต้องขังระดับสำคัญมาก โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่ง นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา ได้เปิดเผยในที่ประชุมว่า ที่ประชุมแพทยสภาได้มีมติตักเตือนแพทย์ 1 คน และพักใช้ใบประกอบแพทย์วิชาชีพเวชกรรม 2 คน เนื่องจากการให้ข้อมูลเอกสารทางการแพทย์อันไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และข้อมูลหลักฐานที่ได้รับ ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่ชัดเจนว่า มีภาวะวิกฤตเกิดขึ้นกับผู้ป่วยรายดังกล่าว

นพ.ประพนธ์ กล่าวต่อว่า ข้อเท็จจริงดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่โปร่งใสในการให้ข้อมูลทางการแพทย์ และขุ่นเคืองต่อกระบวนการยุติธรรมเหลื่อมล้ำต่อการปฎิบัติต่อผู้ต้องขังรายอื่น จึงเป็นเหตุให้คณะกรรมการทั้งสองคณะเห็นพ้องเพื่อพิจารณาศึกษาร่วมกันในครั้งนี้ เนื่องจากคณะกรรมาธิการสาธารณสุขฯ เล็งเห็นว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ ซึ่งเป็นหัวใจของระบบสาธารณสุขที่ประชาชนควรคาดหวังเชื่อมั่น

ด้านพล.ต.ท.บุญจันทร์ นวลสาย สว.ในฐานะประธานคณะกรรมธิการการกฏหมาย และการยุติธรรม วุฒิสภา กล่าวว่า ได้พิจารณาแล้วว่าการให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง อาจกระทบต่อหลักนิติธรรมและความเสมอภาค ความเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจากมติดังกล่าว คณะกรรมการสองคณะจึงมีกำหนดให้ประชุมร่วมกันในวันนี้ เพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานร่วมกันในประเด็นจริยธรรมทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการที่ทำ เพื่อกำหนดแนวทางให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง เช่น ระบบราชทัณฑ์หน่วยบริการสุขภาพและองค์กรวิชาชีพมาให้ข้อมูลอย่างรอบด้าน เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างและระบบโดยรวม เพื่อมีเป้าหมายให้จัดทำเสนอข้อเสนอในเชิงระบบ และข้อเสนอแนะเชิงนโยบายเสนอต่อวุฒิสภา และส่งต่อไปยังหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรงเพื่อดำเนินการต่อไป

“การที่บุคคลหนึ่งได้รับการปฎิบัติที่อาจแตกต่างจากผู้ต้องขังทั่วไป โดยอาศัยการรับรองทางการแพทย์ที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความยุติธรรมของประเทศที่อาจถูกบิดเบือน ขอย้ำว่าคณะกรรมาธิการสองคณะ มิได้มีเจตนาในการทำลายเกียรติของวิชาชีพแพทย์ แต่ธำรงไว้เพื่อความเป็นธรรม ความน่าเชื่อถือของระบบยุติธรรม ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สังคมไทยควรยึดมั่นร่วมกัน หากใช้ข้อมูลทางการแพทย์ที่คลาดเคลื่อนโดยไม่มีการถอดบทเรียน ย่อมเป็นอันตรายต่อนิติรัฐของประเทศ จึงเป็นวัตถุประสงค์ของการศึกษาร่วมในครั้งนี้ ยืนยันว่าไม่มีการแทรกแซงสองหน่วยงาน ทั้งโรงพยาบาลตำรวจ และกรมราชทัณฑ์ เพียงแต่เป็นการศึกษาในแนวทางข้อกฎหมายว่าให้อำนาจกับกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจให้ทำสิ่งใดได้บ้าง หลังจากนั้นจะมานำเสนอให้กับประชาชนรับทราบ ซึ่งคาดว่าใช้เวลาศึกษาไม่เกินเดือนครึ่ง ทั้งนี้ สำหรับการศึกษาที่ผ่านมาของคณะกรรมาธิการฯ แต่ละชุด” พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าว

พล.ต.ท.บุญจันทร์ กล่าวอีกว่า ในขณะนั้นติดขัดเรื่องเวชระเบียน แต่ในการศึกษาครั้งนี้ จะเริ่มต้นจากมติของแพทยสภา ซึ่งกระบวนการศึกษาจะแตกต่างกัน สามารถที่จะย้อนไปหาเหตุการณ์เบื้องต้นได้ เป็นการศึกษาเพื่อการพัฒนา หากมีโอกาสในการแก้ไขตรงไหน ก็จะเสนอวุฒิสภา ยืนยันว่าไม่มีการโจมตีทางการเมืองหลังเกิดเหตุการณ์เรียก สว.ที่ถูกกล่าวหาในคดีการฮั้วเลือก สว. ไปรับทราบข้อกล่าวหา

- Advertisment -spot_imgspot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img