“ทนายคู่ใจ” ถอดรหัส “ทำไมกองทัพไทยยอมถอยไม่ได้” กับกรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ย้ำชัดเป็น “สงครามการตีความแผนที่” โดยมีจุดเริ่มต้นจากกรณี “ปราสาทพระวิหาร” ชี้ถ้าถอยหนึ่งก้าว เท่ากับยอมรับว่าเขตพื้นที่นี้ไม่ใช่ของไทย ยันพื้นที่พิพาทไม่เคยวัดกันด้วย GPS แต่วัดกันด้วย “ความมั่นคง” และ “ใครครอบครองพื้นที่จริง”
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.68 นายรณรงค์ แก้วเพ็ชร์ เจ้าของฉายา “ทนายคู่ใจ” แสดงความเห็นถึงกรณีที่เกิดข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา และกองทัพไทยไม่ยอมถอยออกจากพื้นที่ ตามที่ฝ่ายกัมพูชาอ้าง มีเนื้อหาที่น่าสนใจคือ…
เรื่องชายแดน…ไม่มีคำว่า ‘ถอย’
ในฐานะทนายที่ติดตามคดีข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชามาโดยตลอด ผมอยากให้คนไทยทุกคนได้เข้าใจความจริงเบื้องหลังสงครามปราสาทพระวิหาร เมื่อปี 2554… ว่าทำไมกองทัพไทยถึง ‘ยอมถอยไม่ได้’
⸻
ย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2554
หลายคนจำได้ดีว่า นั่นคือปีที่ “เสียงปืนใหญ่” ดังขึ้นบนยอดภู
และปราสาทหินโบราณอายุนับพันปี ถูกกลบด้วยเสียงคำรามของระเบิด
นั่นไม่ใช่แค่สงครามระหว่างทหาร
แต่คือสงครามของการตีความแผนที่
สงครามของ “คนไทยผู้ไม่ยอมให้ใครมายึดแผ่นดิน”
⸻
จุดเริ่มต้นจากคำว่า “มรดกโลก”
ปี 2551 กัมพูชาเสนอ “ปราสาทพระวิหาร” ขึ้นทะเบียนมรดกโลก
ประเทศไทยในเวลานั้น ‘รับทราบ’ และ ‘ยินยอมเป็นการเมือง’
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ…
การตีความพื้นที่โดยรอบตัวปราสาทกว่า 4.6 ตร.กม. ถูกอ้างว่าอยู่ภายใต้สิทธิข้ามแดน
พูดง่ายๆ คือ…
ถ้าคุณยอมให้เขาได้ตัวปราสาท
วันหนึ่งเขาจะได้ ‘แผ่นดินรอบปราสาท’ ไปด้วยโดยปริยาย
⸻
แล้วกองทัพบกทำอะไร?
พวกเขาไม่ได้ “พูด” …แต่พวกเขา “ขึ้นไปยืน” บนพื้นที่นั้น
• ขึ้นไปตั้งฐาน
• ขึ้นไปปกป้องชาวบ้าน
• ขึ้นไปแม้รู้ว่ารัฐบาลในขณะนั้น…ไม่ได้กล้าพูดตรงๆ ว่า “ไม่ยอม”
และเมื่อกระสุนปืนใหญ่ฝ่ายกัมพูชาตกในเขตไทย
เมื่อพลเรือนไทยต้องอพยพหนี
เมื่อรั้วบ้านเริ่มไหม้
ทหารไทย…ไม่มีทางเลือกอื่นเลย นอกจาก “ยิงตอบโต้”
⸻

แล้วรัฐบาลไทยยุคนั้นล่ะ?
รัฐบาลในเวลานั้น (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ)
ต้องเดินเกมระหว่าง “เวทีการเมืองไทย–เวทีโลก”
• คนไทยเรียกร้องให้แข็งกร้าว
• กัมพูชาผลักดันเรื่องสู่ศาลโลก–ยูเอ็น
• และอาเซียนก็กำลังมองไทยว่า… จะรักษาความสงบได้แค่ไหน
แต่แม้รัฐบาลจะระวังการทูต
ทหารชายแดน…ไม่สามารถถอยได้แม้แต่ก้าวเดียว
เพราะนั่นไม่ใช่เพียง “ชายแดน”
แต่นั่นคือ “เกียรติของคนไทยทั้งแผ่นดิน”
⸻
ทำไมถึงบอกว่า ‘ถอยไม่ได้’?
เพราะการถอยหนึ่งก้าว…
แปลว่า “ยอมรับว่าเขตนั้นอาจไม่ใช่ของเรา”
เพราะการไม่มีทหารยืนอยู่…
แปลว่า “เปิดช่องให้เขามายืนแทน”
เพราะพื้นที่พิพาทไม่เคยวัดกันด้วย GPS
แต่วัดกันด้วย “ความมั่นคง” และ “ใครครอบครองพื้นที่จริง”
และในปี 2554 ทหารไทยยืนอยู่ในพื้นที่จริง
จึงไม่มีวัน “ส่งไม้ต่อให้ใครเดินเข้ามาแทนได้”
⸻
บทเรียนจากศาลโลก
ต่อมาศาลโลกวินิจฉัยในปี 2556 ว่า…
พื้นที่ใกล้ปราสาทตกเป็นของกัมพูชา
แต่ประเทศไทยยังถือครองที่สูงหลายจุด
ซึ่งจะไม่ได้คืน…ถ้าหากทหารไทยในปี 2554 ไม่ยืนหยัดอยู่ตรงนั้น
⸻
ผมขอคารวะกองทัพบกไทย
เพราะความสงบของเราในวันนี้
มีต้นทุนมาจากการยืนหยัดของเขาในวันนั้น
และในฐานะประชาชน–ทนายความคนหนึ่ง
ผมเชื่อว่า…
การมีทหารไทยเฝ้าชายแดน
คือการมี “ดวงใจของแผ่นดิน” ยืนอยู่ที่ปลายแผ่นดิน
⸻
ทนายรณรงค์ แก้วเพ็ชร์