“อังคณา” ชี้ “สมศักดิ์” วีโต้มติแพทยสภา ไม่มีผลต่อการพิจารณาคดี”ทักษิณ” ในศาลฎีกา เชื่อ ผลการสอบของแพทยสภาจะมีน้ำหนักต่อคดีนี้ ปัดเดาใจศาล 13 มิ.ย.นี้ แต่หวังจะพิจารณาโดยนำกรณีอื่น มาเป็นบรรทัดฐานด้วย เพราะวันนี้มะเร็งระยะสุดท้าย ยังไม่ได้ออกมารักษาโรงพยาบาลข้างนอก
เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.68 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) กล่าวถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงเหตุผลการ “วีโต้” มติแพทยสภา อาจลดทอนน้ำหนักหลักฐานการพิจารณาคดีของศาลฎีกาในวันที่ 13 มิถุนายนนี้ว่า มติของแพทย์สภาไม่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ชินวัตร หรือราชทัณฑ์ มติของแพทยสภานั้น มีหน้าที่กำกับดูแลแพทย์ ดังนั้นมติที่ออกมาจึงเป็นการกล่าวถึงการป่วย ของนายทักษิณ ว่าเหมาะสมแล้วหรือไม่ ในการเข้ารักษาแบบพิเศษที่ชั้น 14 จากผู้เชี่ยวชาญ คนที่เคยไปโรงพยาบาลของราชทัณฑ์ ก็จะทราบว่า เป็นโรงพยาบาลที่มีความทันสมัยและสามารถรักษาโรค ซับซ้อนได้ ดังนั้น หากกรณีของนายทักษิณ ไม่มีความเจ็บป่วยจนถึงขั้นต้องใช้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ ในการรักษาตัวเช่นที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ มองว่าเรื่องนี้อาจถูกเลือกปฏิบัติต่อนักโทษ หรือผู้ต้องขังรายอื่น หากย้อนกลับไปดูจะพบว่าบางคนใช้เครื่องช่วยหายใจก็มี หรือบางรายเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายออกไปทำครีโมข้างนอกก็กลับเข้าโรงพยาบาลราชทัณฑ์
“นายทักษิณไม่ได้ป่วยวิกฤติ เพราะการป่วยวิกฤต ต้องถึงขั้นที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่สามารถรักษาได้ แต่ปกติแล้วเมื่อโรงพยาบาลราชทัณฑ์ รักษาไม่ได้ ก็จะขอให้แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้ามารักษา” นางอังคณา กล่าว
นางอังคณา กล่าวว่า การวีโต้กลับของนายสมศักดิ์ นั้นไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลฎีกาในวันที่ 13 มิถุนายน นี้ และจริงๆแล้วนายสมศักดิ์ ไม่ควรที่จะวีโต้ เพราะหากไม่เคารพต่อมติของแพทยสภา ที่ประกอบด้วยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีความอาวุโส มองว่าจะเป็นบรรทัดฐาน ที่เมื่อมีอะไรแล้วไปฟ้องรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีวีโต้กลับ จะมีแพทยสภาไว้ทำไม และใครจะเป็นผู้กำกับจริยธรรมแพทย์ให้มีมาตรฐานเดียวกัน ที่จริงแล้วสังคมตั้งคำถาม และข้อสงสัยมานานแล้วว่าคุณทักษิณป่วยจริงไหม เพราะว่าออกจากโรงพยาบาลคุณทักษิณก็ทำกิจกรรมอะไรต่อมิอะไรได้ สิ่งเหล่านี้ควรเปิดเผย เมื่อคุณอ้างสิทธิความเป็นส่วนตัว ที่จะไม่บอกว่าเป็นโรคอะไรแต่ความเป็นบุคคลสาธารณะควรทักษิณควรที่จะสละความเป็นส่วนตัวเพื่อประโยชน์สาธารณะด้วย
เมื่อถามย้ำว่า มติแพทยสภาที่รอยืนยันกลับในวัน 12 มิ.ย.นี้ จะไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลในวันที่ 13 มิ.ย.นี้หรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าไม่มีผล เพราะศาลจะพิจารณา ว่านายทักษิณป่วยหนัก หรือไม่และป่วยถึงขนาด ที่จะต้องออกมารักษาหรือนอนที่ชั้น 14 ที่ไม่มีใครรู้เลยว่านอนยังไง เพราะนักโทษบางคนหากไม่มีเจ้าหน้าที่คุมตัว บางรายต้องล่ามโซ่ที่ขาติดไว้กับเตียง ส่วนนี้เราไม่ชอบและไม่อยากให้มี
เมื่อถามถึงการไต่สวนของศาลฎีกาในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ นางอังคณา กล่าวว่า ยังเดาใจศาลไม่ได้ แต่เมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก นายทักษิณได้จำคุกหรืออยู่ในสภาพที่เจ็บป่วย และจำเป็นต้องได้รับการดูแลพิเศษ เช่น ชั้นที่ 14 จริงหรือไม่ มองว่าศาลจะดูในลักษณะเช่นนี้ พร้อมมองว่า การตรวจสอบของแพทยสภา ถูกนำไปใช้เป็นพยานหลักฐานว่า นายทักษิณ ไม่ได้มีภาวะอาการเจ็บป่วยถึงขั้นที่จะต้องเข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ แต่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ปกติก็สามารถรักษาได้ คิดว่าศาลจะชั่งน้ำหนักดูเรื่องสัดส่วน และหวังว่าศาลจะพิจารณาโดยนำกรณีอื่น มาพิจารณาเพื่อเป็นบรรทัดฐาน ว่า ต่อไปเมื่อมีนักโทษ ท่านอื่นที่ไม่ใช่นายทักษิณที่เจ็บป่วยมากและขอรักษาตัวนอกกรมราชทัณฑ์จะเป็นไปได้หรือไม่
“หากไม่มีภาวะเจ็บป่วยถึงขนาดนั้นตรงนี้ต้องระวัง คนที่เป็นบุคคลสาธารณะ เป็นพ่อนายกฯ เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียน ที่จริงหากนายทักษิณเปิดเผยว่าเจ็บป่วยอะไรก็คงไม่มีใครสงสัย” นางอังคณา กล่าว
เมื่อถามว่า วันที่ 13 มิ.ย.นี้การเมืองจะเปลี่ยนเลยหรือไม่ นางอังคณา กล่าวว่า อาจไม่ถึงจุดหักเหที่จะเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จากที่ควรเปลี่ยนมานานแล้ว เพราะปัญหาจากการบริหารประเทศของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร เช่นปัญหาเรื่องการตัดสินใจ และปัญหารอบด้านทั้งที่กัมพูชา และ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่แก้ไม่ได้สักอย่างเดียว ส่วนนี้นายกฯควรพิจารณาตนเองด้วย