‘นายกฯ แพทองธาร’ ถกแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ รัฐบาลกับกองทัพ เคลียร์อำนาจหน้าที่แล้วไร้ปัญหา ย้ำทำงานเป็นเอกภาพ รักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ พร้อมรับทุกสถานการณ์ ยึดสันติวิธี บอกมอบหน้างานประเมิน หากต้องปะทะ ยืนยัน รัฐบาลทำงานไม่ช้า กำชับ ‘ดีอี’ ดูเนื้อปลุกปั่น หวั่นขยายความขัดแย้ง ด้าน ผบ.ทสส. ลั่น กองทัพ พร้อมหนุนรัฐบาล แจง ประชุมเหล่าทัพไม่เชิญสื่อ ขอทำงานมืออาชีพ
วันที่ 6 มิ.ย.68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตรนายกรัฐมนตรี แถลงข่าวภายหลังการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. เพื่อหารือสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง
นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า วันนี้มีการพูดคุยถึงมาตรการต่างๆ ในการรับมือสถานการณ์ หลังจากเมื่อวานนี้ นายภูมิธรรม เวชชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ไปคุยกับทีมกัมพูชา ซึ่งยืนยันว่าขณะนี้สถานการณ์ยังโอเคอยู่ และยืนยันว่า ทุกหน่วยทุกฝ่าย ทั้งกองทัพและรัฐบาล มีการปรึกษากันตลอดก่อนที่จะดำเนินการใดๆ อำนาจไหนที่เป็นของใคร และทุกคนทราบในอำนาจของตัวเองเป็นอย่างดี
นางสาวแพทองธารกล่าวว่า วันนี้สิ่งที่ต้องการคือ ความเป็นเอกภาพในการทำงานทั้งหมด ซึ่งวันนี้ ได้คุยกับ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมด้วยว่า ไม่อยากให้เกิดกระแส หรือการปลุกปั่นว่า รัฐบาลกับกองทัพมีปัญหากัน ซึ่งความจริงแล้วไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น มีแต่การสนับสนุนกันเป็นอย่างดี และมีการเคลียร์กันว่า อำนาจหน้าที่ เนื้องานเป็นอย่างไร ใครจะตัดสินใจ
ส่วนเรื่องการเจรจาและรายละเอียด อาจจะไม่ได้ให้รายละเอียดทั้งหมด แต่ขณะนี้ยืนยันว่า มีความเข้าใจ และยังไม่มีความรุนแรงที่ขยายมากขึ้น ขณะนี้ ทางกองทัพก็ยืนยันว่า มีการจำกัดวงเพื่อไม่ให้ขยายความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นแนวทางที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องอธิปไตยเป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่หากเปรียบว่าเป็นบ้านจันทร์ส่องหล้า หรือ บ้านของนายกรัฐมนตรีเอง มีคนมารุกราน นายกจะแก้ปัญหาอย่างไรให้รวดเร็วกว่านี้ นายกรัฐมนตรีระบุว่า เมื่อวานนี้มีการพูดคุยกันแล้ว แต่รายละเอียดต้องเคารพทั้งสองฝ่าย ว่าสามารถให้ข้อมูลได้มากน้อยแค่ไหน เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรจา เข้าใจว่าสื่อมวลชนอยากได้เนื้อข่าว แต่การพูดคุยของทั้งสองฝ่ายโอเคทั้งหมด
ขณะเดียวกัน กองทัพก็ยืนยันแล้วว่า มีความพร้อมทุกรูปแบบ พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ซึ่งกองทัพทราบอยู่แล้วว่าเหตุการณ์หน้างานเป็นอย่างไร ถึงเวลาที่ต้องปะทะหรือยัง และเป็นการตัดสินใจของกองทัพ จะเป็นคนประเมินหน้างาน ว่าถึงขั้นที่ต้องปะทะหรือไม่ แต่หากยังไม่จำเป็น การที่จะปะทะไปจะเกิดความเสียหาย มากกว่าแรงเชียร์ที่ต้องการให้เกิดการปะทะ พร้อมย้ำว่าต้องใช้สันติวิธีให้ได้มากที่สุด
นายกรัฐมนตรียืนยันว่า ไม่มีใครช้าในเรื่องนี้ ทุกคนทำกันหมดและคุยกันหมดแล้ว อยู่ที่ว่าจะฟังส่วนไหน ไม่ฟังส่วนไหนมากกว่า และรัฐบาลก็มีการออกแถลงการณ์ไป 2 ฉบับในการดำเนินการและแนวทางที่ประเทศไทยจะไปต่อ
ด้านนายภูมิธรรม เวชยชัย ย้ำว่า เรายังคงยืนยันในหลักการปกป้องอธิปไตย และดำรงความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ โดยการพูดคุยวันนี้ หลักการสำคัญมีอยู่ 3 ด้าน คือ การต่างประเทศ กองทัพ และการสื่อสาร ซึ่งจะมีการปรับให้ชัดเจนขึ้น เพื่อให้เกิดการร่วมกันทำงาน ก่อนยืนยันว่ากองทัพพร้อมที่จะรักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ และบูรณภาพแห่งดินแดน ซึ่งได้มีการพูดคุยเป็นเนื้อเดียวกัน
นายภูมิธรรมกล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ จะเป็นเจ้าภาพหลักในการชี้แจงเรื่องนี้ และจะประสานกับโฆษกกระทรวงกลาโหม , กองทัพบก และดีอี เพื่อไม่ให้บรรยากาศการเจรจาหรือการหาข้อสรุปเกิดขึ้นยากลำบาก
นายภูมิธรรมกล่าวย้ำว่า สมช. เห็นพ้องกันว่า อธิปไตยถือเป็นเรื่องสำคัญหลักที่ต้องดูแลอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องอื่นๆ จะประคองให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ให้เกิดการเสียประโยชน์ ทั้งประเทศเราและประเทศเพื่อนบ้านทั้งหมด ที่จะมีภาระความจำเป็นต่อเนื่องกันอีก อย่างเรื่อง ยาเสพติด , ไซเบอร์ จึงอยากให้ความขัดแย้งจำกัดวงให้ได้มากที่สุด
ด้าน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า ในส่วนของการต่างประเทศและการทหารต้องไปด้วยกัน เป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากทั้งสองประเทศ มีความสัมพันธ์ที่ดีกันมาอย่างยาวนาน และเห็นพ้องกันว่า การเจรจากับฝ่ายกัมพูชา ต้องใช้กลไกที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นหลัก คือ ทวิภาคี และเป็นสิ่งที่ผู้นำสองฝ่ายได้พูดคุยกันตั้งแต่ต้น คือใช้กลไกคณะกรรมการที่มีอยู่แล้ว ทั้ง JBC RBC หรือ GBC ที่เป็นกลไกหลักในขณะนี้
นายมาริษกล่าวว่า เป้าหมายของการเจรจาในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ระหว่างคณะกรรมการร่วมสองฝ่าย จะต้องเน้นเรื่องของจุดปะทะ เพื่อแก้ปัญหาการกระทบกระทั่งกันเป็นหลัก เรื่องอื่นๆ เราจะยังไม่ให้ความสำคัญ จะพูดเรื่องของการแก้ปัญหาที่มีการเผชิญหน้า และลดความตึงเครียด ในกรอบของกำลังทหารร่วมกันให้เป็นเรื่องเป็นราว ซึ่ง JBC มีหน้าที่อยู่แล้ว ที่จะเจรจาเรื่องเขตแดน เพราะฉะนั้นจะดำเนินการไปพร้อมกัน แต่สิ่งที่จะต้องให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก คือการพูดคุยลดความรุนแรง ลดบรรยากาศ ที่จะมีการกระทบกระทั่งกัน เป็นหลัก
ส่วนการชี้แจง จะมีการประสานความร่วมมือกันกับกระทรวงการต่างประเทศ และกองทัพบก ร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อให้การสื่อสารแก่ประชาชนให้เข้าใจ ให้ทุกอย่างไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเรื่องข่าวสารมากยิ่งขึ้นกว่านี้ ยืนยันว่า การทหารและการต่างประเทศไปด้วยกันอย่างแน่นอน
ขณะที่พลเอก ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ประเด็นแรกได้เน้นย้ำว่า กองทัพสนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหาและคลี่คลายสถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ด้วยสันติวิธี เป็นเรื่องแรก
ส่วนเรื่องที่ 2 กองทัพได้ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญในการรักษาอธิปไตย และคุ้มครองปกป้องประชาชนตามแนวชายแดน ซึ่งได้ดำเนินการมาตลอด
เรื่องที่ 3 ได้ยืนยันว่า ในการประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพวันนี้ เป็นการประชุมตามวงรอบปกติ ทุก 2 เดือน ซึ่งแน่นอนว่าจะมีการพูดคุยเรื่องสถานการณ์ไทย-กัมพูชาด้วย ในลักษณะที่สนับสนุนแนวทางของรัฐบาลและแนวทางของสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ได้ประชุมกันวันนี้ และเพื่อความโปร่งใส หลังการประชุมเสร็จ จะมีเอกสารการแถลงข่าวออกมาว่า สิ่งที่คุยกันวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนที่ไม่ได้เชิญสื่อมวลชน เพราะเป็นการทำงานแบบมืออาชีพ และอยากให้เป็นการสื่อสารในแนวทางเดียว คือกระทรวงต่างประเทศ รัฐบาล กระทรวงกลาโหมและกองทัพ และตนในฐานะผู้ปฏิบัติงาน ขอสงวนการให้ข้อมูลในเรื่องนี้
จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้เดินออกจากวงแถลงข่าว ก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะถามว่าจะให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไปพูดคุยกับ กัมพูชาด้วยหรือไม่ โดยรัฐมนตรีมีสีหน้าเรียบเฉย และไม่ได้ตอบคำถาม ก่อนจะขึ้นรถกอล์ฟ กลับไปปฎิบัติหน้าที่ที่ตึกไทยคู่ฟ้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกรัฐมนตรีได้ยกเลิกภารกิจการประชุมติดตามมาตรการป้องกันปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมาย ณ ห้องสีเขียว ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพืีอประชุม สมช.