“สรวงศ์” ชี้อำนาจปรับ ครม. อยู่ที่นายกฯ – แจงเพื่อไทยอยากดูแลกระทรวงหลัก แต่เข้าใจบริบทรัฐบาลผสม
เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.68 นายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) แสดงความเห็นว่า การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ควรยึดตามข้อตกลงเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงกระทรวง ว่า
“ถ้าท่านพูดเช่นนั้น ก็ต้องย้อนถามว่าทำไมจึงพูด เพราะอำนาจในการปรับ ครม. อยู่ที่นายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งท่านก็มีการหารือกับหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลอยู่แล้ว”นายสรวงศ์ กล่าว
เมื่อถามว่า จำเป็นต้องมีการนัดหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อพูดคุยเรื่องการปรับ ครม. หรือไม่ นายสรวงศ์ ตอบว่า เป็นธรรมเนียมที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ควรเชิญหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคมาหารือร่วมกันอยู่แล้ว เพื่อสร้างความเข้าใจและความร่วมมือที่ดี โดยเฉพาะในบริบทที่เราทำงานร่วมกัน
เมื่อถามว่า ท่าทีของนายอนุทินที่ยืนยันโควตาเดิม อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งจนกระบวนการปรับ ครม. ล่าช้าหรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า “ไม่คิดว่าเป็นปัญหา ท่านอาจเพียงแสดงจุดยืนตามข้อตกลงที่เกิดขึ้นเมื่อจัดตั้งรัฐบาล แต่เมื่อถึงเวลาปรับ ครม. หากมีการพูดคุยกันอย่างเหมาะสม ก็น่าจะทำความเข้าใจร่วมกันได้”
เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยยังคงต้องการดูแลกระทรวงมหาดไทยหรือไม่ นายสรวงศ์ ระบุว่า ไม่สามารถตอบในฐานะทางการได้ เพราะปัจจุบันรัฐบาลมีลักษณะผสมผสาน และมีการกระจายงานไปยังพรรคร่วมอย่างเหมาะสม แต่หากถามในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรคนหนึ่ง ก็คงอยากเห็นพรรคเพื่อไทยดูแลกระทรวงหลักเหมือนในอดีตที่เคยบริหารประเทศโดยลำพัง อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วขึ้นอยู่กับการพิจารณาของนายกรัฐมนตรี
ในประเด็นที่ว่า นายกรัฐมนตรีได้เรียกหารือกับรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทยเพื่อประเมินผลงานก่อนการปรับ ครม. หรือไม่ นายสรวงศ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีการเรียกใครไปพูดคุยอย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านี้นายกฯ เคยกล่าวไว้ว่า หากมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนใคร ก็จะเชิญมาหารือก่อนเสมอ
เมื่อถามถึงคำกล่าวของนายอนุทินที่ระบุว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้เป็นฝ่ายไปขอเข้าร่วมรัฐบาล นายสรวงศ์ ยืนยันว่า “ถูกต้อง เพราะเราในฐานะแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เป็นฝ่ายไปเชิญพรรคร่วมเข้ามา โดยมีการตกลงเรื่องโควตากระทรวงกันชัดเจน แต่เมื่อทำงานร่วมกัน ก็ต้องพิจารณาตามความเหมาะสม หากจะมีการเปลี่ยนแปลง ย่อมสามารถพูดคุยกันได้ ไม่ใช่เรื่องตายตัว”