ศาลรธน.มีมติไม่รับ 3 คำร้องขอให้ สว.หยุดปฏิบัติหน้าที่และขอให้เลือกสว.เป็นโมฆะ ชี้ยื่นคำร้องซ้ำ ไม่เข้าข้อกฎหมายและไม่มีสิทธิร้องโดยตรง
เมื่อวันที่ 12 มิ.ย. 68 ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณายกคำร้องกล่าวหา คดีฮั้ว สว.รวม 3 คำร้อง ได้แก่ คำร้องขอคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 62/2567 เรื่องพิจารณาที่ ต. 52/2568 ซึ่งเป็นคำร้องต่อเนื่อง เรื่องพิจารณาที่ ต. 48/2567 เกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยนายภิญโญ บุญเรือง (ผู้ร้อง) ขอคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 62/2567 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2567 ที่สั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย โดยขอให้ทบทวนคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าว รวมทั้งขอให้มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจนิจฉัย และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 ว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 25661 มาตรา 47 (2)ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 และมาตรา 213
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องต่อเนื่องและเอกสารประกอบ มีลักษณะเป็นการขออุทธรณ์คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 ไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ร้องไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (2) ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 และมาตรา 213 นั้น เห็นว่า เป็นการขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย รัฐธรรมนูญบัญญัติให้สิทธิและขั้นตอนไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 212 และมาตรา 231 (1) กรณีไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 48 ประกอบมาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 233 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
ต่อมาเป็นเรื่องพิจารณาที่ ต. 53/2568 เกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา กรณีนายธนาโชค ชววิทยภิญโญ (ผู้ร้อง) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ โดยผู้ร้องกล่าวอ้างว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ผู้ถูกร้อง) ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ให้ผู้สมัครรับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภาสมยอมกันในการลงคะแนน ส่งผลให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นไปโดยไม่สุจริต ไม่เที่ยงธรรมและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ละเมิดสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของผู้ร้องและผู้สมัครรับเลือกอื่นที่สุจริตทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหาย ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 มาตรา 224 และมาตรา 225
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏว่าการกระทำของผู้ถูกร้องเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมาย หากผู้ร้องเห็นว่าเป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพผู้ร้องอาจใช้สิทธิทางศาลได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 25 วรรคสาม ส่วนกรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือกสมาชิกวุฒิสภาเป็นโมฆะนั้น รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญได้กำหนดกระบวนการร้องหรือผู้มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยไว้เป็นการเฉพาะแล้วตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (2) ซึ่งมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องดังกล่าวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
สุดท้ายเรื่องพิจารณาที่ 15/25668 กรณีคำร้องขอคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 51/2568 เป็นคำร้องต่อเนื่อง เรื่องพิจารณาที่ 11/2568 เกี่ยวกับการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา โดยพลตำรวจโท คำรบ ปัญญาแก้ว และคณะ (ผู้ร้อง) กล่าวอ้างว่าตนและคณะเป็นคณะบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 41 อันมีสิทธิยืนคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 7 (5) ขอคัดค้านคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญที่ 51/256568 ขอให้พิจารณาวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาของพลตำรวจตรี ฉัตรวรรษ แสงเพชร และคณะ (ผู้ถูกร้อง) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (3) ประกอบมาตรา 185 (1) หรือไม่ และขอให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องต่อเนื่องและเอกสารประกอบคำร้องปรากฏว่า การที่ผู้ร้องของขอให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (7) และขอให้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย มีลักษณะเป็นการยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ที่กำหนดให้เฉพาะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งในสิบของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของแต่ละสภาหรือคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อต่อศาลรัฐธรรมนูญเท่านั้น
นอกจากนั้น คำร้องของผู้ร้องมีลักษะเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 ไม่มีบทบัญญัติให้บุคคลมีสิทธิอุทธรณ์คำวินิจฉัยหรือคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญผู้ร้องไม่อาจอุทธรณ์คำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้ ประกอบกับไม่ปรากฏสาระสำคัญเพิ่มเติมจากคำร้องเดิมที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำสั่งไม่รับไว้พิจารณาวินิจฉัย
ส่วนกรณีที่ผู้ร้องโต้แย้งว่าตนและคณะไม่ประสงค์ยื่นคำร้องตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 แต่เป็นการยื่นคำร้องโดยอ้างสถานะความเป็นคณะบุคคลคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 41 อันมีสิทธิยื่นคำร้องตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.25661 มาตรา 7 (5) เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกวุฒิสภาของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 111 (7) ประกอบมาตรา 185 (3) นั้น
เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (5) และมาตรา 41 มิได้เป็นบทบัญญัติให้สิทธิผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญพ.ศ.2561 มาตรา 41 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ที่จะขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคดีตามมาตรา 7 จะต้องเป็นบุคคล คณะบุคคล หรือองค์กรตามที่บัญญัติไว้ไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่น”
เมื่อไม่ปรากฏว่ามีบทบัญญัติได้ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายอื่น ให้สิทธิผู้ร้องยื่นคำร้องได้ ดังนั้น ผู้ร้องไม่อาจยื่นคำร้องโดยอาศัยช่องทางดังกล่าวศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย