ศาลฯไต่สวน “ผบ.เรือนจำคนปัจจุบัน” ละเอียดยิบ นานกว่า 1 ชม. ถึงขั้นตอนตั้งแต่วันออกจากศาล – ส่งตัวโรงพยาบาลตำรวจ ด้าน “ผบ.เรือนจำ” รับแพทย์เขียนใบส่งตัวล่วงหน้าฉุกเฉิน สามารถส่งตัวรักษานอกเรือนจำได้ ไม่ผ่านทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ตามขั้นตอน เรียก “ประวัติการรักษาตัวตปท.-มติแพทสภา” เพิ่มภายใน 15 วัน พร้อมนัด สอบพยานเพิ่ม 20 ปาก
เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 68 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีการนัดไต่สวน กรณีการเข้ารักษาตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจเพื่อพิจารณาว่าการรักษาตัวดังกล่าวเป็นไปตามระเบียบกฎหมายหรือไม่และมีการฝ่าฝืนกฎหมายหรือข้อกำหนดของกรมราชทัณฑ์หรือไม่
โดยศาลได้ไต่สวนนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ซึ่งศาลได้ไต่สวนในขั้นตอนของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ ซึ่งเป็นข้อสงสัยหลังศาลได้อ่านเอกสารคำชี้แจงกว่า 1 ชั่วโมง
ศาลได้ถามถึงกระบวนการในวันส่งตัวนายทักษิณ ในวันที่ 22 สิงหาคม 2567 ว่าได้ปฏิบัติตามกฎกระทรวงหรือกฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่ มีการตรวจและปฏิบัติกับนายทักษิณอย่างไร ซึ่งทางนายมานพได้ชี้แจงว่า ในวันที่ 22 สิงหาคม ได้รับตัวนายทักษิณจากศาล มายังเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในเวลา 14.00 น. ซึ่งมีการตรวจร่างกาย โดยพญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ผู้ตรวจร่างกาย ได้ตรวจร่างกายและเขียนใบรับรองว่ามีโรคความดันสูงโรคหัวใจ อยู่ในกลุ่ม 608 พร้อมเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหากฉุกเฉิน จะได้สามารถส่งตัวได้ทันทีเมื่อมีอาการ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้พิมพ์ลายนิ้วมือ และรับมอบประวัติการรักษาจากต่างประเทศ มีการตรวจค้น ตรวจตัวและบันทึกลงระบบ
จากนั้น ในเวลา 22:00 น พยาบาลของสถานพยาบาลภายในเรือนจำ ได้เข้าไปตรวจนายทักษิณ พบว่ามีความดันผิดปกติ ออกซิเจนมีความผิดปกติ แน่นหน้าอก นอนไม่หลับ แขนขาอ่อนแรง จึงได้โทรไปปรึกษาหมอของทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งแพทย์ได้ให้ความเห็นว่าสามารถส่งตัวไปรักษานอกเรือนจำได้ ทางพัสดีเวรจึงมีคำสั่งตามคำวินิจฉัยแพทย์ ส่งตัวนายทักษิณไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ
ศาลจึงได้ถามว่าปกติมีการเขียนใบส่งตัวไว้ล่วงหน้าหรือไม่ นายมานพ ยืนยันว่า มี ทำเป็นปกติในกรณีผู้ป่วยกลุ่ม 608 แต่กรณีของนายทักษิณ ตนเองไม่ทราบเหตุผล
ส่วนอาการในคืนนั้นของนายทักษิณตรงกับใบส่งตัวล่วงหน้าเลยใช่หรือไม่ นายมานพ กล่าวว่า เห็นแค่ในรายงานเอกสารแต่ส่วนตัวไม่เห็น
ศาลจึงได้ทวงถามถึงประวัติการรักษาจากต่างประเทศของนายทักษิณ เนื่องจากไม่มีการส่งหลักฐานให้กับศาล พร้อมถามถึงรายละเอียดการส่งตัวของผู้ต้องขังไปรักษา นอกเรือนจำมีขั้นตอนอย่างไรและอาศัยตามอำนาจกฎหมายใด ตามประมวลกฎหมายอาญาหรือตามระเบียบราชทัณฑ์ 2563 เนื่องจากมีความแตกต่างกัน นายมานพ ได้ชี้แจงว่าเป็นขั้นตอนตามมาตรา 55 ของพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ปี 2560 และกฎกระทรวง ว่าสามารถส่งตัวผู้ต้องขัง ที่มีอาการป่วยในเวลาปกติได้ ซึ่งก็คือในเวลาราชการ โดยตามระเบียบจะต้องประเมินอาการในสถานพยาบาลในเรือนจำก่อน หากมีอาการหนักก็จะส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ทุกกรณี และหากมีอาการหนักกว่าเดิมสามารถส่งไปรักษาตัวโรงพยาบาลนอกเรือนจำได้ ส่วนก่อนหน้านี้จะมีนักโทษในคดีทางการเมืองถูกส่งไปรักษานอกประจำแบบนายทักษิณหรือไม่ ตนเองไม่ทราบ แต่ในระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งมานั้นมี เช่น ผู้ป่วยจิตเวช ผู้ป่วยมะเร็ง
ศาลจึงถามต่อว่า ตอนที่รักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลตำรวจ มีการส่งเจ้าหน้าที่ไปควบคุมตลอดเวลาหรือไม่ นายมานพ กล่าวว่า มีการส่งไปตลอดมีการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ จำนวน 4 นาย เวรละ 2 นาย สลับกลางวันกับกลางคืน แต่เจ้าหน้าที่ 1 คนสามารถเข้าเวรต่อเนื่องได้ โดยจะมีการลงชื่อในสมุดเข้าเวร และมีการเซ็นเบิกค่าเงินเข้าเวร สารจึงได้ขอหลักฐานการเบิกเงินเข้าเวร จะให้ส่งมาพร้อมกับประวัติการรักษาตัวนายทักษิณในต่างประเทศ ภายใน 15 วัน
จากนั้น ศาลได้เปิดให้คู่ความไต่สวนพยานได้ แต่จะต้องไม่เป็นการซักค้านศาล โดยนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายทักษิณ ได้ขออนุญาตต่อศาลเพื่อ สอบถามข้อมูลบางส่วนกับพยานโดยตรงในชั้นไต่สวน ศาลได้ชี้แจงต่อทนายความจำเลยว่า ไม่สามารถอนุญาตให้ทนายความจำเลยถามคำถามต่อพยานได้โดยตรง แต่ศาลจะเป็นผู้พิจารณาแต่ละคำถามตามความเหมาะสม
โดยนายวิญญัติ ได้เริ่มถามข้อที่ 1 ว่าการส่งตัวผู้ต้องขังที่ป่วยออกไปรักษาโรงพยาบาลนอกความดูแลของกรมราชทัณฑ์ ทางกรมราชทัณฑ์ได้ทำ MOU ร่วมกับโรงพยาบาลอื่นหรือไม่ ดช่นโรงพยาบาลตำรวจ
ศาลได้ตอบแทนพยานว่า ส่วนนี้ทางกรมราชทัณฑ์มี MOU ในเอกสารอยู่แล้ว
ทนายจึงถามข้อที่ 2 ต่อว่า ที่ผ่านมาทางเรือนจำ มีกรณีใดหรือไม่ ที่ส่งตัวผู้ต้องขังที่ป่วยไปรักษาตัวภายนอกโดยไม่ผ่านขั้นตอนโรงพยาบาลเรือนจำฯ แต่คำถามนี้ศาลไม่อนุญาตให้ถาม เนื่องจากเป็นการถามค้านศาล
ส่วนข้อที่ 3 พยานรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่ผู้ต้องขังมีประวัติการรักษาตัวจากต่างประเทศ ไม่ใช่พึ่งมีอาการ นายมานพ ระบุว่า ไม่ทราบ
ข้อที่ 4 พยานทราบหรือไม่ว่าในระหว่างปฏิบัติราชการอยู่มีการคุมตัวผู้ต้องขังออกไปรักษาที่นอกเรือนจำทั้งประเทศจำนวนเท่าใด
ศาลไม่อนุญาตให้ตอบ
ข้อที่ 5 ตามกฎกระทรวงเรื่องการคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำเจ้าหน้าที่ต้องมีการควบคุมตัวตลอดเวลาใช่หรือไม่
ศาลแจ้งกลับว่า ในข้อคำถามดังกล่าวศาลได้กำหนดนัดหมายเรียกพยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ที่ควบคุมตัวนายทักษิณมาไต่สวนแล้ว จึงไม่อนุญาตให้ถาม
ข้อที่ 6 จากการที่พยานกล่าวว่าแนวทาง ปฏิบัติกฎกระทรวงปี 2563 พยานไม่มีส่วนในการร่างกฎกระทรวงดังกล่าว ทั้งนี้มาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องขังนอกเรือนจำ (SOP) ถือว่าเกิดขึ้นก่อนหน้ากรณีของนายทักษิณใช่หรือไม่
นายมานพ ยืนยันว่า ใช่
ข้อที่ 7 การที่ราชทัณฑ์มารับตัวผู้ต้องขังจากศาลฎีกาเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 วิธีการซักประวัติถ่ายรูปตรวจร่างกายถือว่าเป็นการรับโทษแล้วหรือไม่ แต่ ศาลไม่อนุญาตให้ถามเพราะจะเป็นผู้วินิจฉัยเอง
ข้อที่ 8 พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบัติงานในเรือนจำมี 1 คนต่อ 1 รอบเวรใช่หรือไม่
นายมานพ ระบุว่า พยาบาล 1 คนต่อ 1 เวรจะต้องดูแลผู้ต้องขังจำนวน 4,000 คน
ส่วนข้อที่ 9 กลุ่ม 608 คือกลุ่มอะไร แต่ในข้อคำถามนี้ศาลแนะนำว่าควรจะสอบถามไปทีแพทย์มากกว่าเพราะมีความรู้เฉพาะเจาะจง แต่นายวิญญัติ ยืนยันว่า จะถามผู้บัญชาการเรือนจำว่าเข้าใจหรือไม่ว่าคนไข้กลุ่ม 608 คือใคร ศาลจึงอนุญาตให้ผู้บัญชาการเรือนจำชี้แจง ซึ่งระบุว่า กลุ่ม 608 หมายถึงกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปป่วยด้วย 8 โรค กลุ่มนี้ทางเรือนจำจะต้องดูแลอย่างใกล้ชิดการเรียกว่ากลุ่ม 608 เกิดขึ้นในสมัยการแพร่ระบาดของโควิด
ต่อมาเวลา 10.30 น ทนายวิญญัติขออนุญาตอ่านคำชี้แจงต่อศาลว่าขอขยายระยะเวลาการส่งเอกสารเพิ่มเติมภายใน 23 มิถุนายนนี้ และขอเบิกตัวพยานฝ่ายจำเลยที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยจะส่งรายชื่อ และรายละเอียดให้ศาลพิจารณาก่อนว่าเกี่ยวข้องหรือไม่ โดยศาลได้ระบุว่า ในคดีดังกล่าว จะมีการไต่สวนอีกหลายนัด และมีการเรียกพยานมา และขอให้ทำเรื่องมาซึ่งศาลจะวินิจฉัยเองว่าได้หรือไม่ได้
ทนายวิญญัติ ได้ขอต่อศาลว่าขอไม่ให้มีนัดในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากนายทักษิณมีกำหนดนัดคดี ม.112 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกต้องไปปรากฏตัว โดยศาลได้ชี้แจงว่า ทางศาลเองก็มีข้อจำกัดในการกำหนดนัดผู้พิพากษา และการจัดเตรียมสถานที่จึงขอให้ทีมทนายความจัดสรรเวลา และผู้มาฟังการไต่สวน เพราะนายทักษิณไม่จำเป็นต้องเดินทางมาด้วยตนเอง สามารถมอบหมายทนายความให้เป็นตัวแทนได้
แต่ทนายความวิญญัติ ได้ชี้แจงว่า อยากขอความเมตตา เนื่องจากตนเองเป็นทนายความเพียงคนเดียวที่ได้เข้าเยี่ยมนายทักษิณขณะที่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ อีกทั้งนายทักษิณ จำเป็นต้องมีทนายความที่ไว้วางใจในการ เดินทางขึ้นศาลในแต่ละครั้ง
อย่างไรก็ตาม ศาลได้นัดไต่สวนพยานในครั้งถัดไปคือวันที่ 4, 8 และ 15 ก.ค.68 พร้อมเรียกพยานสอบ 3 นัดถัดไปรวม 20 ปาก ซึ่งประกอบด้วย พยาบาลในสถานพยาบาลในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แพทย์ในทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ แพทย์โรงพยาบาลตำรวจ อดีตผู้บัญชาการเรือนจำฯ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์มาชี้แจง พร้อมเรียกเอกสาร รายงานของกสม. และมติแพทยสภา ที่มีการพิจารณากรณีส่งตัวรักษานายทักษิณ ชั้น 14 เพิ่มเติมจากป.ป.ช.