‘นายกฯ แพทองธาร’ โต้ ‘กัมพูชา’ เล่นสงครามข่าวสารนอกเกม โพสต์ยั่วยุ ทำวุ่นวาย มอง ไม่ส่งผลดีต่อ 2 ประเทศ รับที่ผ่านมาไทยสื่อสารน้อยเหตุเคารพกติกา ลั่น ไทยมีศักดิ์ศรี มีความเข้มแข็ง ไม่ยอมให้ใครข่มขู่-กลั่นแกล้ง พร้อมแจงไทย ปรับเวลาเปิด-ปิดด่าน เพราะคำนึงถึงประชาชน เหตุ มีการขนอาวุธหนักประชิดชายแดน ย้ำ หากต้องปะทะต้องถามความพร้อมกองทัพ รัฐบาล-กองทัพ ไม่มีปัญหากัน
วันที่ 16 มิ.ย.68 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง นานกว่า 2 ชั่วโมง โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ร่วมแถลงด้วย
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุมได้มีการหารือถึงผลการประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วมไทยกัมพูชา.หรือ JBC เมื่อวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ถือเป็นผลสำเร็จที่ยอมรับกรอบ JBC ส่วนรายละเอียดทางกระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ทางการไทยได้มีการหารือกันในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับหน้างาน จนถึงระดับรัฐมนตรี โดยมีการสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง โดยที่ประชุมได้เห็นชอบตั้งคณะทำงานหรือทีมไทยแลนด์ โดยมีพลเอกณัฐพล เป็นหัวหน้าทีม คอยมอนิเตอร์ข้อมูลข่าวสาร
ส่วนกรณีที่กัมพูชายื่นศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรีย้ำว่า ประเทศไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก แต่ได้มีการตั้งทีมทำงานเพื่อหาแนวทางปกป้องประเทศ หรือตอบโต้ได้อย่างไรบ้าง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษากฎหมาย และประวัติความเป็นมา ขณะนี้มีข้อมูลไว้ทั้งหมดแล้ว
ส่วนกรณีที่สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกมาระบุว่าหากไทยไม่ยกเลิกมาตรการการเปิด-ปิดด่าน ภายในวันนี้หรือพรุ่งนี้ กัมพูชาจะปิดด่านชายแดนทั้งหมด ที่ประชุมได้มีการหารือในประเด็นนี้หรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องการเปิด-ปิดด่าน จริงๆ แล้วเราไม่ได้ปิด เพียงแต่กำหนดเวลาการเปิด-ปิด ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น ซึ่งทางประเทศไทยได้ทราบจากเพจกลาโหมของทางกัมพูชา ซึ่งก่อนหน้านี้เราได้มีการตกลงกันแล้วว่าจะมีการปรับกำลัง และได้มีการมอบอำนาจให้ในส่วนที่เกี่ยวข้องแก่กองทัพเพื่อประเมินสถานการณ์หน้างาน แต่ทางกลาโหมกัมพูชายืนยันว่า จะไม่มีการปรับกำลังออกจากพื้นที่ ทางไทยจึงมีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน ทำให้กัมพูชามีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่านเช่นกัน
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ที่ผ่านมา ไทยและกัมพูชามีการพูดคุยกันมาตลอด ตนก็ได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา มาตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีความเห็นและตกลงร่วมกันว่า อยากเห็นสันติภาพให้เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ ไม่ต้องการความขัดแย้ง ต้องการรักษาชีวิตของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ และไม่อยากให้มีการเสียเลือดเนื้อของทหาร ซึ่งเป็นสิ่งที่ทั้งสองประเทศเห็นตรงกัน และหลังจากนั้นก็มีการพูดคุยมาตลอด และตนก็พยายามให้อยู่ในกรอบทวิภาคี ซึ่งเป็นกรอบการพูดคุยระหว่างประเทศ ซึ่งทุกประเทศ เมื่อมีการสื่อสารต้องมีกรอบความเข้าใจร่วมกันเพื่อให้เป็นไปตามกลไกระหว่างประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า นอกจากการพูดคุยเป็นทางการแล้ว ยังมีการพูดคุยหลังไมค์อย่างไม่เป็นทางการ แต่สิ่งที่สื่อสารออกมาทางโซเชียลนอกกรอบ และเป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นมืออาชีพออกมาอยู่เรื่อยๆ ทำให้เกิดความวุ่นวายในการจัดการ ทั้งสิ่งที่พูดคุยกันหลังไมค์ และสิ่งที่พูดคุยกันอย่างเป็นทางการ ตนคิดว่าการสื่อสารในลักษณะนี้ทำให้เป็นผลลบทั้ง 2 ประเทศ
และสิ่งที่ทางกัมพูชาได้โพสต์ เราต้องคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนทั้งไทยและกัมพูชา ก่อนที่จะประกาศเรื่องการปิดด่านเลย ซึ่งมีผลกระทบต่อประชาชนไทยและกัมพูชา จึงมีความห่วงใย ทั้งเรื่องของการค้าขาย การขนส่ง เพราะหากมีการปิดด่านทั้งหมดย่อมมีผลกระทบ เราจึงไม่มีการปิดด่าน แต่เปลี่ยนเป็นการปรับเวลาในการเข้าออกทั้งคนและสินค้า และได้มีการแจ้งไปทางกัมพูชาว่าจะมีการประชุมหารือกันในวันนี้ เพื่อที่จะรายงานผลว่า จะดำเนินการอย่างไรต่อไป
นายกรัฐมนตรี ยังระบุอีกว่า วันนี้ได้ส่งข้อความไปยังนายกรัฐมนตรีกัมพูชา โดยเสนอให้มีการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) หรือ RBC หรือการประชุมในระดับกองทัพของทั้งสองประเทศ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อ
“แต่ก็ยังเห็นว่าทางกัมพูชายังมีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ไม่อยู่ในกรอบ”
เมื่อถามต่อว่า ไทยพยายามที่จะยึดตามกรอบ JBC แต่ดูเหมือนว่าทางกัมพูชาจะไม่มีความจริงใจในเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ที่ประชุม JBC เป็นการประชุมร่วมกันของทั้ง 2 ประเทศ ถือเป็นความสำเร็จในการพูดคุย หมายความว่าเรายอมตกลงกันตามกรอบนี้ เพื่อที่จะบอกว่าเราต้องการสันติภาพ และจะร่วมกันทำอย่างไรได้บ้าง แต่ส่วนตัวมองว่า กรอบ JBC ไม่มีปัญหา เป็นไปตามที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจง ไม่ได้ติดขัดหรือมีพลิกล็อคอะไรในกรอบ JBC
เมื่อถามว่า ดูเหมือนว่ากัมพูชาจะเร่งสงครามข่าวสารผ่านโซเชียล นายกรัฐมนตรีย้ำว่า เรื่องนี้ไม่เกิดผลดีของทั้งสองประเทศ เพราะการปล่อยข่าว หลายครั้งที่ออกมา ก็มีการตกลงกันแล้วว่า อย่าเพิ่งปล่อยข่าว เพราะต้องมีการพูดคุยกันก่อน เพราะคนหน้างานกับคนที่รับข่าวเป็นคนละคนกัน เพราะฉะนั้นจะทำอะไรหรือสัมภาษณ์อะไรออกไป ต้องเห็นใจคนหน้างาน การที่หลายคนยุยงให้มีการต่อสู้ ขอให้ดูคนหน้างานด้วย ว่าเป็นอย่างไรและกำลังเกิดอะไรขึ้นบ้าง คนในฐานะผู้บริหาร ก็ต้องคอยติดตามสถานการณ์อยู่ตลอด ว่าเกิดอะไรขึ้น ณ ขณะนั้น และการที่ไทยกำหนดมาตรการปิด-เปิดด่านในตอนแรก เป็นเพราะมีอาวุธไกล และอาวุธหนัก ออกมามากขึ้นจากฝั่งกัมพูชา เราจึงต้องมีการกำหนดเวลาเปิด-ปิดด่าน เพราะมีประชาชนของทั้ง 2 ประเทศอยู่ในพื้นที่ชายแดนจำนวนมาก การที่เอาอาวุธหนักออกมาเช่นนั้น หากไม่มีการกำหนดมาตรการเปิด-ปิด แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา จะเกิดความเสียหายมากมาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะหากไม่เกิดอะไรขึ้นเราก็จะไม่มีกำหนดมาตรการออกมา
ส่วนจะสามารถชี้แจงให้นานาประเทศเข้าใจได้อย่างไรว่า เราไม่ได้โกงเอาแผ่นดินของเขามา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าเรื่องนี้ถูกชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรในการประชุม JBC รวมไปถึงการที่ตนได้เสนอขอให้มีการประชุมในระดับ RBC ด้วย สิ่งที่เราประชุมทั้งหมดจะถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทั่วโลกสามารถรับรู้ได้ว่าเราตกลงอะไรกันบ้าง
ขณะเดียวกัน ในวันนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เรียกประชุมทูตทุกประเทศที่อยู่ในไทย ทั้งหมดเพื่อให้ทุกประเทศได้รับทราบ ซึ่งก่อนหน้านี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้พูดคุยกับทูตประเทศกัมพูชา มาตั้งแต่ วันที่ 4 มิถุนายนที่ผ่านมาแล้ว ว่าเราต้องการอะไร และจะทำอย่างไร
“แต่ยอมรับว่าสิ่งที่เราอาจจะทำน้อยกว่าเขา นั่นคือการสื่อสารต่อสาธารณะ เพราะเราเคารพ ในการเจรจาระหว่างประเทศ เคารพกรอบการเจรจาทวิภาคี เราเคารพเราให้เกียรติทั้ง 2 ประเทศว่าสิ่งที่คุยควรเป็นสิ่งที่เป็นทางการ และอยู่ในกรอบทวิภาคี นั่นคือสิ่งที่ทุกประเทศเมื่อมีการติดต่อสื่อสาร ต้องยึดกรอบทวิภาคีเป็นสำคัญ แต่ถ้ามีการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการเกิดขึ้น เราก็ต้องบอกจุดยืนของเราเช่นกัน ว่าเราไม่เคยที่จะ ยั่วยุหรือพูดเพื่อให้เกิดการปะทะใดๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ อย่างที่ตนบอกว่า คนเสพข่าวเรื่องหนึ่งคนที่อยู่ หน้างานก็อีกเรื่องหนึ่ง ดิฉัน เป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าอยู่ตรงนี้แล้วเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงตรงชายแดน นั่นแปลว่าดิฉันต้องรับรู้ ว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าดิฉันจะต้องตกลงในการปะทะ มันต้องมีการคุยกับทหารด้วย ว่าพร้อมหรือไม่ เราอยู่ในสถานะไหน เขาอยู่ในสถานะไหน ไม่ใช่จู่ๆจะมีเรื่อง แล้วจุดให้ไฟมันติดได้เลย อันนี้คือกรอบที่เราต้องยึด แต่แน่นอนว่าการปล่อยข่าวหรือปล่อยประโยคอะไรออกมา ที่ไม่เป็นทางการ ส่งผลกระทบ ตนย้ำว่าไม่เกิดผลดีกับทั้งสองประเทศ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงดังกล่าวนายกรัฐมนตรี ตอบคำถามด้วยน้ำเสียงที่เข้มและท่าทีที่ขึงขัง
เมื่อถามว่ารัฐบาลไทยจะทำอย่างไรกับสงครามข่าวสารของกัมพูชา นายกรัฐมนตรีกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า ชี้แจงค่ะ คนไทยนายกรัฐมนตรี กองทัพ ที่ประชุมวันนี้เห็นตรงกันในทุกๆส่วน กองทัพเองก็คิดเหมือนเราว่าจะต้องปกป้องอธิปไตยไว้ แต่จะทำอย่างไรให้ยืดการปะทะ การเสียเลือดเนื้อ ให้ไม่เกิดขึ้น แต่ยังคงรักษาอธิปไตยของเราไว้ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลและกองทัพเห็นตรง ส่วนใครจะปล่อยข่าวว่าตีกัน ยืนยันว่า ไม่เคยตีกัน ตอนนี้กองทัพกับรัฐบาลได้คุยกันทุกเรื่อง ว่าจะทำอย่างไร ตนให้เกียรติกองทัพเสมอ เพราะเป็นคนหน้างาน และรู้เรื่องอาวุธทุกอย่าง รัฐบาลก็คุยกับกองทัพว่าจะเอาอย่างไร ได้คุยกับกองทัพทุกครั้งว่าจะเอาอย่างไร จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ นี่คือสิ่งที่ตนทำเสมอกองทัพก็เช่นกัน จะทำอย่างไรก็คุยกับรัฐบาลเช่นกัน อะไรทำได้หรือไม่ เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศ นี่คือสิ่งที่ประเทศเราทำ ตนขอย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลกับกองทัพไม่มีปัญหากัน และขอให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนรัฐบาลและกองทัพ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะวันนี้เราไม่ได้ต่อสู้กันเอง เรารักษาอธิปไตยของเราไว้ เราพูดในข้อความที่ตรงกัน และในข้อความที่รู้ได้ว่าประเทศไทยเป็นปึกแผ่น
“จะไม่ยอมให้ใครมากลั่นแกล้ง มาใส่ร้าย มาข่มขู่ เราก็เป็นประเทศที่มีศักดิ์ศรีเช่นกัน เราก็เป็นประเทศที่แข็งแรงเช่นกัน เพราะฉะนั้นจุดนี้จะทำให้เราทุกคนรู้ว่า วันนี้ถ้าไม่เคารพกฎกติกาก็จะไม่ถูกยอมรับโดยทั่วโลก”