”กมธ.ต่างประเทศ“ ประณาม ”กัมพูชา“ ชกใต้เข็มขัด ทำเสียเสถียรภาพการเมือง-ความมั่นคงไทย ลั่น เป็นจุดแตกหัก 2 ประเทศที่ต้องจารึก หนุน รัฐบาลเจรจาอย่างสันติผ่านกรอบทวิภาคี ซัด เห็นแก่ประโยชน์ตัวเอง ยอมสละมิตรไมตรีที่เคยช่วยเหลือเสมอ
วันที่ 25 มิ.ย.2568 เวลา 13.30 น.ที่รัฐสภา น.ส.สรัสนันท์ อรรณนพพร สส.ขอนแก่น พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร แถลงภายหลังการประชุมว่า ทางกมธ.ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ได้ข้อสรุปว่าประเทศไทยมีความประสงค์ที่ชัดเจนคือต้องการเจรจาผ่านกรอบทวิภาคี ที่เราได้ดำเนินการไปคือการประชุม JBC แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหลายกรอบทวิภาคี ที่เรามีความต้องใจอยากเห็นการดำเนินงานจากตัวแทนของทั้ง 2 ประเทศ ไม่ว่าจะผ่านกรอบ RBC หรือ GBC ที่อยู่ในระดับกระทรวงกลาโหมที่ในส่วนของคณะทำงานด้านความมมั่นคงอยากใช้กรอบนี้ในการคลี่คลายปัญหาดังกล่าว โดยยึดหลักความปลอดภัย อธิปไตยทั้ง 2 ประเทศเป็นที่ตั้ง โดยเฉพาะความปลอดภัยของประชาชนที่อาศัยอยู่ชายแดนทั้ง 2 ประเทศ
น.ส.สรัสนันท์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาเราเห็นว่าฝั่งของกัมพูชามีความยั่วยุใช้หลากหลายยุทธวิธีที่จะทำให้เกิดความร้าวฉาน ไม่ว่าจะเป็นนำคนเข้ามาเที่ยวในพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาท ร้องเพลงชาติตามปราสาทต่างๆ รวมถึงการวางแนวระเบิดที่เคยปรากฏเป็นข่าว รวมถึงการวางกำลังล้ำเข้ามาในเขตพื้นที่ที่ไม่ควรจะเกิด โดยประเทศไทยเน้นย้ำเสมอว่าสุดท้ายจะต้องมีการเจรจาอย่างสันติ เพราะประเทศไทยกับกัมพูชาไม่สามารถห่างออกจากกันได้ ชาตินี้ชาติหน้าก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนกัน ฉะนั้น แนวทางที่ดีที่สุดคือต้องกลับมาที่โต๊ะเจรจา และจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้ง 2 ฝ่าย และเพื่อให้ประชาชนคนไทยมีความสบายใจ กองทัพพร้อมที่จะปฏิบัติการในทุกรูปแบบแต่ขอเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้น
น.ส.สรัสนันท์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามแนวขอบชายแดนไม่ใช่มีแค่การขู่ว่าจะเกิดการปะทะกัน แต่ยังมีสงครามจิตวิทยาที่เกิดขึ้นผ่านการสื่อสารผ่านช่องทางต่างๆ การยั่วยุต่างๆ มีสงครามการเมืองระหว่างประเทศที่เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะการสื่อสารของฝ่ายการเมืองฝั่งกัมพูชาที่แสดงความเห็นอย่างสุดโต่ง ที่ส่อให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่ไม่ประสงค์จะเข้าสู่กระบวนการการพูดคุยอย่างเป็นวิถีสากล และกมธ.มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นการแทรกแซงการเมืองภายในของประเทศไทยอย่างชัดเจน หน่วยงานที่เข้าให้ความเห็นมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคำถามคือผู้นำกัมพูชาต้องการอะไร ซึ่งมองได้ว่าเป็นผลประโยชน์ภายในการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นของกัมพูชาที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2570 อีกทั้งยังไม่ต้องการที่จะสร้างสัมพันธ์ภาพในเชิงบวกกับประเทศไทย แต่เป็นผลประโยชน์ของกลุ่มคนที่ยอมสละผลประโยชน์ของประเทศตนเอง ยอมสละมิตรประเทศที่คอยช่วยเหลือ เกื้อหนุนกันมาตลอด ไม่ว่าจะทุกข์ยากอย่างไรประเทศไทยก็คอยช่วยเพื่อนบ้านตลอดมา
“เราขอสนับสนุนแนวทางของรัฐบาลและกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงให้การสนับสนุน และส่งกำลังใจให้หน่วยความมั่นคง ที่ใช้ความยับยั้งชั่งใจ ความอดทนอย่างเต็มที่ ในวันที่เราจะต้องต่อกรกับประเทศที่ไม่มีมารยาทที่ไม่มีเจตนารมณ์ที่อยากทำให้สันติของทั้ง 2 ประเทศกลับคืนสู่แนวชายแดน รวมถึงระยะยาวที่ความสัมพันธ์ของเราสามารถผลิดอกออกผลได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชกใต้เข็มขัด ที่ฝั่งกัมพูชาได้ริเริ่มโดยเฉพาะผู้นำหลายๆคน ดิฉันขอประณามการกระทำต่างๆที่ประเทศกัมพูชาได้ทำและส่งผลต่อเสถียรภาพการเมืองและความมั่นคงของประเทศไทย มีความละเอียดอ่อนในเรื่องนี้ ซึ่งได้ทำลายความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศที่ได้ร่วมสร้างและฟันฝ่าอุปสรรค ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกันมามาก ครั้งนี้เป็นจุดหักที่ต้องจารึกไว้อีกครั้ง และมั่นใจว่าบทบาทที่กัมพูชาได้ดำเนินมาในวันนี้จะส่งผลกระทบไปหาเขา ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมแน่นอน“น.ส.สรัสนันท์ กล่าว