เลขาธิการพรรคประชาชาติ ระบุ องค์การเภสัชกรรม เป็นผู้แทนขายให้บริษัทผู้ผลิต วัคซีนซิโนแวค น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและจริยธรรม ลั่นฐบาลขาดความจริงใจ จริงจังในการจัดหาวัคซีน
เมื่อวันที่ 15 ส.ค.พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า “องค์การเภสัชกรรม” เป็นผู้แทนการขายให้บริษัทผู้ผลิต “วัคซีนซิโนแวค” น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมายและจริยธรรมเชื้อโรคร้ายแรง โควิด 19 ได้โจมตีชีวิตคนไทยต้องเสียชีวิตและติดเชื้อเพิ่มขึ้นจำนวนมาก หนทางแก้ไขวิกฤติในการป้องกันโควิดขณะนี้ทุกคนเรียกร้องว่าต้องจัดหาวัคซีนที่ดีที่สุดและฉีดให้เร็วที่สุด ยึดหลัก “กันไว้ดีกว่าแก้” แต่วันนี้ประชาชนยังตั้งตารอเมื่อไรจะได้ฉีดวัคซีน รัฐสร้างความสับสนในการสื่อสารกับประชาชน ส่วนการบริหารสถานการณ์ พลเอกประยุทธ์ นายกรัฐมนตรียังบริหารงานแบบรวบอำนาจแบบเบ็ดเสร็จตาม พรก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นประธานกรรมการบริหารสถานการณ์โคด-19 หรือผอ.ศบค.
อีกทั้งยังได้รวบอำนาจตามกฎหมายต่างๆ ถึง 40 ฉบับ มาไว้กับตนเอง ไม่ให้ความสำคัญโครงสร้างหน้าที่และอำนาจในระบบสาธารณสุขให้ทำงานเต็มศักยภาพ ยังหลงไหลในคำปรึกษาของอดีตข้าราชการและพวกพ้องที่รู้จักทั้งที่งานในอดีตไม่เคยมีโรคโควิด ไม่เคยรักษาหรือจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิดมาก่อน บริหารจัดการซื้อวัคซีนเป็นลักษณะไม่โปร่งใส แต่งตั้งคณะกรรมการที่บางคนมีผลประโยชน์ทับซ้อน ขาดความจริงใจ จริงจังในการจัดหาวัคซีน แม้ในวันที่กระทรวงสาธารณสุขต้องชี้แจง คณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญร่าง พรบ. รายจ่ายงบประมาณประจำ 2565 (เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2564 ) ที่มีกำหนดไว้ล่วงหน้าและเป็นกฏหมายสำคัญเกี่ยวกับการเงินที่ต้องใช้เงินภาษีของประชาชน อธิบดีกรมควบคุมโรค และผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ต้องขออนุญาต กมธ. ไปประชุมคณะพิจารณาการจัดหาวัคซีนที่นายกรัฐมนตรีตั้ง ซึ่งเฉพาะกิจที่ส่วนใหญ่เป็นคนภายนอกให้เสร็จก่อน จึงค่อยย้อนกลับมาชี้แจงคณะ กมธ.
ในการชี้แจงตอบคำถาม กมธ. ร่างพิจารณางบประมาณ นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และนายแพทย์นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ทำให้ทราบว่าจัดหาวัคซีนรัฐบาลได้มีสัญญาซื้อวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า( AstraZeneca) จำนวนที่สั่งจอง 61 ล้านโดส ในราคา 5 เหรียญสหรัฐอเมริกา/โดส หรือประมาณ 165 บาท/โดส ไม่รวมค่าขนส่ง ไม่รวม ภาษี VAT การทำสัญญาที่รัฐเสียเปรียบทุกประเด็นอ้างว่าผู้ขายหรือผู้ผลิตมีอำนาจต่อรองสูงผู้ซื้อ(รัฐบาลไทย)ไม่มีอำนาจต่อรอง ถ้าผู้ขายวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าไม่ส่งมอบวัคซีนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ไม่สามารถเรียกค่าปรับผิดนัดตามสัญญาหรือทำอะไรได้เลย
ดังนั้น “จัดหาวัคซีนที่ดีที่สุดและฉีดให้เร็วที่สุด” จึงเป็นเพียงความหวังและความฝันของประชาชนที่รัฐไม่สามารถตอบสนองได้ ส่วนกรณี วัคซีนซิโนแวค (Sinovac) ได้อ้างว่ามีความจำเป็นต้องแก้สถานการณ์ช่วงเดือนมกราคม 2564 มีการระบาดที่จังหวัดสมุทรสาครวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจะส่งมอบได้ประมาณเดือนมิถุนายน 2564 จึงจำเป็นต้องจัดหาวัคซีนมาเสริมเป็นภาระเร่งด่วนวัคซีนซิโนแวคมีสินค้าแล้วจึงทำการจัดซื้อ หลายประเทศที่รัฐบาลให้ความสำคัญในชีวิตของคนมีความสำคัญและมีคุณค่าจะไม่ใช้วัคซีนซิโนแวคฉีดให้คนของตนที่วงการแพทย์และสังคมมีประเด็นว่ามีคุณภาพต่ำกว่าวัคซีนตัวอื่น รัฐบาลไทยได้ซื้อมาใช้ล็อตแรกจำนวน 2 ล้านโดสในราคา 17 เหรียญสหรัฐอเมริกา/โดส หรือประมาณ 560 บาท/โดส และซื้อครั้งหลังในราคา 15 เหรียญสหรัฐอเมริกา/โดส หรือ ประมาณ 590 บาท/โดส ทราบว่าปัจจุบันรัฐมีการซื้อไปทั้งหมดรวม 19.5 ล้านโดส ได้ส่งมอบให้รัฐแล้วประมาณ 14.5 ล้านโดส
สิ่งที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัยยิ่งในกรณี วัคซีนซิโนแวค คือนายแพทย์นคร ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ได้ชี้แจง กมธ. ว่า วัคซีนทุกชนิดส่วนใหญ่มีตัวแทนขายเป็นผู้ขาย อาทิ วัคซีนโมเดอร์นา มีบริษัท ซิลลิค ฟาร์มา เป็นผู้แทน
ส่วนวัคซีนโควิดซิโนแวค ซึ่งไม่มีตัวแทนเป็นผู้ขายในไทยแต่มีองค์การเภสัชกรรมเป็นผู้แทน นั่นหมายความว่า องค์การเภสัชกรรม ต้องมีหน้าที่จัดการเรื่องเหล่านี้ให้กับบริษัทผู้ผลิตวัคซีนซิโนแวค หรือไม่?
อาทิ 1.เรื่องการชำระเงิน-ระยะเวลาการจ่ายเงิน (Credit Term) นานกี่เดือน? หรือ การค้ำประกันของธนาคาร (Bank Guarantee) เป็นจำนวนเงินเท่าไหร่?
2.การส่งเสริมการขาย-การใช้วัคซีน การส่งเสริมยอดการฉีดวัคซีน มีโปรโมชั่น ลดแลกแจกแถมให้ด้วยหรือไม่? อย่างไร?
3.การดูแลหลังการขาย-การดูแลหลังการขาย การรับประกันคุณภาพของผลิตภัณฑ์ถูกต้องหรือไม่? การบรรจุภัณฑ์ได้มาตรฐานหรือไม่?
4.การส่งมอบ-ขบวนการการจัดส่งวัคซีนและปริมาณสินค้า ตรวจรับกันอย่างไร? 5. การตลาด-การประเมินปริมาณสินค้าล็อตหน้า การเอื้อเฟื้อกัน เพื่อที่จะได้สั่งอีกในล็อตถัดไป รวมถึงการรู้จักมักคุ้นกับผู้ผลิตซิโนแวค ในฐานะคู่ค้าผู้ร่วมส่งเสริมสินค้าตัวเดียวกัน เป็นต้น การเป็นตัวแทนให้บริษัทเอกชนขายวัคซีนต่างประเทศ ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของ องค์การเภสัชกรรม และเป็นเรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์!สถานการณ์ในขณะนี้ วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ขาดแคลน ผู้ขายและผู้ผลิดจัดส่งมอบให้ประเทศไทยล่าช้า รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้เพราะเป็นสัญญาที่รัฐเสียเปรียบทุกประเด็น สิ่งที่รัฐตั้งความหวังคือการบริจาควัคซีนจากต่างประเทศที่จะเมตตาประเทศไทย
เมื่อไม่มีวัคซีนจะฉีดประชาชนจึงติดเชื้อเป็นจำนวนมาก เลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนผู้ติดเชื้อทะลุสองหมื่นคนต่อวัน ผู้เสียชีวิตพุ่งสูงเกินสองร้อยคนต่อวัน รวมผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 7,000 คน แม้จะวางแผนซื้อเวลาโดยฉีดแอสตร้าเซนเนก้า สลับกับซิโนแวค แต่ทราบว่าแอสตร้าเซนเนก้ายังส่งมาล่าช้าการฉีดสลับต้องเลื่อนไป การที่รัฐบาลยอมให้ “องค์การเภสัชกรรม” เป็นตัวแทนของบริษัทยาเอกชนจากประเทศจีน ให้บริการวัคซีนที่มีคุณภาพด้อยที่สุดเมื่อเทียบกับวัคซีนอื่น จึงไม่น่าจะชอบด้วยกฏหมายและจริยธรรม
ทั้งนี้เพราะองค์การเภสัชกรรมเป็นรัฐวิสาหกิจ ตาม พ.ร.บ.องค์การเภสัชกรรม พ.ศ. 2509 มีวัตถุประสงค์ผลิตยาและเวชภัณฑ์ที่ต้องคำนึงถึงประโยชน์ของรัฐและประชาชน (มาตรา 31) หน้าที่หลัก คือ การเตรียมความพร้อมทางด้านเวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ในการช่วยเหลือประชาชนให้เข้าถึงยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆใน ราคาที่เป็นธรรมโดยไม่ได้มุ่งเน้นแสวงหากำไรใดใดเพื่อช่วยเหลือประชาชนในยามเกิดวิกฤติและฉุกเฉิน เงินที่นำไปซื้อวัคซีนเป็นภาษีประชาชน ต้องนำไปซื้อสิ่งที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ให้ประชาชนมีความคุ้มค่า มีการใช้จ่ายอย่างโปร่งใส มีประสิทธิภาพ
รัฐบาลมีล้มเหลวในการป้องกันและรักษาการระบาดโรคโควิดทำให้มีผู้ติดเชื้อและล้มตายแบบใบไม้ร่วง จึงมีผู้เรียกร้องความรับผิดชอบของรัฐบาลให้ลาออก หรือยุบสภา ตามกระบวนการประชาธิปไตย แต่รัฐบาลคิดแก้ปัญหาความผิดพลาดด้วยการชงเรื่องนิรโทษกรรมให้ผู้จัดหาวัคซีนและบริหารงานโควิค เห็นแก่ตัวเกินไปหรือไม่?