เริ่มแล้ว! ผู้นำฝ่ายค้านปล่อยไก่อ่านชื่อ “บิ๊กตู่” เป็น “พล.อ.ประยุทธ์ ยงใจยุทธ” ออกตัวแรงคนโง่ เป็นผู้นำขี้ขลาด โอหัง คลั่งอำนาจ ค้าความตาย ขณะที่ส.ส.พปชร.ประท้วงอ้าง “บิ๊กป้อม” ลุกป้องนายกฯ
เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 64 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามที่นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และคณะเป็นผู้เสนอ แต่ปรากฏว่า ผ่านไป 45นาที ยังไม่สามารถเปิดประชุมได้ กระทั่งเวลา 09.50น.หลังผ่านไป 50 นาที มีส.ส.ลงชื่อครบองค์ประชุม 242คน จากจำนวนส.ส.ทั้งหมด 482คน จึงเริ่มประชุมได้
โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน อ่านญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล แต่เมื่อเริ่มอ่านญัตตินายสมพงษ์ก็ปล่อยไก่ตัวเบ้อเริ่ม เมื่ออ่านชื่อรัฐมนตรีที่อภิปรายไม่ไว้วางใจผิด จากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี และยังพูดผิดต่อไปว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยงใจยุทธ ทำให้ส.ส.ฝ่ายค้านที่นั่งอยู่รอบๆนายสมพงษ์ ทำหน้าเลิ่กลั่ก กระทั่งนายสมพงษ์รู้ตัวจึงเอ่ยขอโทษ แก้ชื่อเป็นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นายสมพงษ์กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์เป็นบุคคลไร้ภูมิปัญญา ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ ไร้ความสามารถเป็นหัวหน้ารัฐบาล บริหารราชการแผ่นดินล้มเหลว เสียหายร้ายแรงทุกด้าน ใช้อำนาจหน้าที่ขัดรัฐธรรมนูญ กฎหมาย มติครม. สั่งการในลักษณะกลืนน้ำลายตัวเอง ปล่อยปะละเลยมาตรการป้องกันการระบาดเชื้อโควิด-19 จัดหาวัคซีนไม่โปร่งใส ปล่อยให้มีการทุจริต แสวงหาประโยชน์ของนักการเมือง ข้าราชการที่ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับการระบาดเชื้อโควิด-19 ทั้งการการจัดหาและจองวัคซีนล่วงหน้า พฤติการณ์พล.อ.ประยุทธ์มีลักษณะค้าความตาย คิดการใหญ่โตสร้างกำไรจากวัคซีนร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.สาธารณสุข กอบโกยผลประโยชน์บนซากศพและคราบน้ำตาประชาชน
พล.อ.ประยุทธ์ยังลุแก่อำนาจใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ออกมาชุมนุมอย่างรุนแรงตามนิสัยความถนัดตนเอง และเห็นชอบใช้จ่ายงบประมาณจัดซื้ออาวุธของกองทัพต่อเนื่อง การที่ประชาชนติดเชื้อเสียชีวิตจำนวนมาก เป็นผลจากความไร้ภูมิปัญญา ไม่ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ใจดำ ทรยศความไว้วางใจประชาชน จากความโอหังและเสพติดอำนาจ ทำให้อยู่ในสภาพคนเป็นโรคโอหังคลั่งอำนาจ ไม่อยู่ในภาวะเป็นผู้นำประเทศ หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป จะนำมาซึ่งความหายนะประเทศตามที่กล่าวกันว่า ผู้นำโง่ เราจะตายกันหมด เพราะคนโง่ คือภัยอันตรายร้ายแรงเมื่อได้กลายเป็นผู้มีอำนาจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายสมพงษ์อ่านญัตติไม่ไว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์นั้น นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ คอยประท้วงอยู่เป็นระยะๆ โดยกล่าวหาว่า ใช้ถ้อยคำใส่ความ อาทิ ค้าความตาย ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด ซึ่งพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นห่วง ไม่อยากให้มีการใส่ความกัน ขอให้พรรคพลังประชารัฐดูแลนายกฯ จะมาใส่ความกันไม่ได้ แต่นายชวนวินิจฉัยแล้ว เป็นการพูดตามญัตติ ไม่ขัดข้อบังคับ ขณะที่นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม ส.ส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ประท้วงว่า โดยมารยาท เมื่อผู้นำฝ่ายค้านอ่านญัตติ จะไม่ประท้วงกัน แต่ผู้แทนก้าวเขย่ง ไม่รู้มารยาท ก่อนที่นายชวนจะรีบตัดบทให้นายสมพงษ์อ่านญัตติต่อไป
นายสมพงษ์กล่าวว่า 2.นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ขาดความรู้ ไร้ความ สามารถดูแลงานสาธารณสุขของประเทศ มีพฤติกรรมคุยโม้โอ้อวด ทุจริตต่อหน้าที่ ใช้อำนาจขัดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ประเมินความรุนแรงของโรคผิดพลาดร้ายแรง เห็นว่าเป็นไข้หวัดธรรมดา หายได้เอง จึงละละเลยเตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข ทำให้เวลา 4เดือน มีประชาชนติดเชื้อสะสมเกือบ 9แสนคนและมีผู้เสียชีวิตกว่า 7,000คน ไม่มีสถานพยาบาลเพียงพอรักษาผู้ป่วย บางรายนอนเสียชีวิตกลางถนนหรือในบ้าน ระบบสาธารณสุขประเทศล้มเหลวสิ้นเชิง แต่นายอนุทินไร้ความสามารถทำให้สถานการณ์ยุติลง แต่แสวงหาผลประโยชน์จากการจัดหาวัคซีน การกระจายวัคซีนบนคราบน้ำตาและความเป็นความตายประชาชน
3.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ก็ไร้ภูมิปัญญา ทำให้ผู้ใช้แรงงานได้รับผลกระทบทั้งระบบ ละเลยให้แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายปะปนอยู่ในระบบแรงงาน เกิดการแสวงหาประโยชน์จากแรงงาน เป็นต้นเหตุการแพร่ระบาดโรคโควิด-19กระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ผู้ใช้แรงงานต้องตกงานจำนวนมาก นักศึกษาจบใหม่ไม่มีงานทำ และผิดพลาดร้ายแรงให้เกิดคลัสเตอร์ติดเชื้อใหม่ในโรงงานรายวัน ไม่มีมาตรการป้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ
4.นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่ มุ่งแสวงหากอบโกยผลประโยชน์จากโครงการขนาดใหญ่ของหน่วยงานที่อยู่ในกำกับ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริต บุกรุกครอบครองที่ดินรัฐนำมาเป็นของตนและเครือญาติโดยการฉ้อฉล ประพฤติตัวเสเพลไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง เข้าไปในแหล่งอบายมุขเป็นต้นตอแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ไปทั่วประเทศ มุ่งแสวงหาผลประโยชน์การเมือง
5.นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ บริหารงานด้านการเกษตรล้มเหลวทั้งระบบ ทุจริตต่อหน้าที่ มีส่วนได้เสียเรียกรับผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานที่กำกับดูแล เบียดบังทรัพยากรชาติให้พวกพ้องละเลยให้เกิดการแพร่ระบาดโรคในสัตว์ส่งผลเสียหายแก่เกษตรกรจำนวนมาก ขณะที่มาตรการชดเชยเยียวยาแก่เกษตรกรไม่ทั่วถึงและเพียงพอ
6.นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ใช้ตำแหน่งหน้าที่และสื่อของรัฐบิดเบือนข้อเท็จจริง สร้างความแตกแยกในสังคม ทำลายบรรทัดฐานอันดีของสังคม มุ่งประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประโยชน์ประเทศ ไม่ปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
“ขณะนี้ประเทศไทยมาถึงจุดวิกฤติ เป็นวิกฤติผู้นำรัฐบาลโอหังคลั่ง สะท้อนภาพบริหารจัดการล้มเหลว มีแต่แถลงตำหนิประชาชน บริหารงานด้วยปาก พ่นคำพูดเอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้ประชาชน หลงตัวเอง แก้ปัญหาแบบเก่งคนเดียว ไม่ฟังเสียงประชาชน ขับเคลื่อนการทำงานแล้วถูกด่า ประชาชนต้องด่าด้วยความคับแค้น เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันชีวิตตนเอง แต่ผู้นำยังยิ้มแย้ม จ๊ะจ๋าได้ตลอด เกรี้ยวกราดด่าทอโยนความผิดให้ประชาชน
สิ่งเหล่านี้ นายกฯได้ยินหรือไม่ เพราะไม่มีประชาชนอยู่ในหัวใจ นายกฯยอมรับหรือไม่ว่า ใจดำ ไร้หัวใจเป็นมนุษย์ เป็นคำอธิบายชัดเจนในเวลานี้ ไม่สามารรถป้องกันความสูญเสียของประชาชนเลย แต่ผู้นำกลับทำงานที่บ้านอยู่บนหอคอย ไม่กล้าลงมารับรู้ความจริง เป็นผู้นำที่ขี้ขลาดที่สุด การบริหารราชการของพล.อ.ประยุทธ์ทุก 7นามี มีคนไทยต้องตายเพราะบริหารโควิดล้มเหลว เกิดความสูญเสียวันละ 8พันล้านบาท จากการล็อกดาวน์ผิดพลาด
ขอถามว่า เหตุใดวัคซีนประสิทธิภาพต่ำจึงแพงกว่าวัคซีนประสิทธิภาพสูง แต่ยังดื้อดึงสั่งซ้ำซาก จนมีคำกล่าวหากไม่โง่ก็คงโกง ต้องตอบให้ได้ว่า คนของท่านมีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิตประชาชน เป็นรัฐบาลกล้าค้าความตายกับประชาชน ควรพิจารณาลาออกจากความบกร่องทางสติปัญญา อารมณ์ของผู้นำ ขอให้ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลเข้าใจว่า ผู้นำอย่างพล.อ.ประยุทธ์คือ ความอับอายของประเทศ ไม่สามารถนำพาประเทศพ้นวิกฤติได้ ไม่ใช่ผู้นำปัจจุบันที่แบกปัญหาวิกฤติได้ ไม่ใช่ผู้นำอนาคตที่เป็นความหวังลูกหลาน เป็นได้แค่สิ่งไร้ค่า ไร้ความหมายในความทรงจำของคนรุ่นต่อไป จึงไม่อาจไว้วางใจให้บริหารราชการต่อไป