“วิโรจน์”ซัดแหลก”ประยุทธ์-อนุทิน”สมคบคิดอุปโลกตัวเลขจัดหาวัคซีนลวงโลก เจอ “คารม-งูเห่า”ก้าวไกลประท้วงวุ่นฉีกหน้ากันกลางสภา
วันที่ 1 ก.ย.64 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภา เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อมานายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ได้เริ่มอภิปรายด้วยการเปิดคลิปวิดีโอที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข พูดว่าในไตรมาส 3 วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าจะมีเต็มโรงพยาบาล เต็มแขนคนไทย เป็นประเทศเดียวในภูมิภาคนี้ มีวัคซีน 63 ล้านโดส ไม่พอเก็บ วันนั้นคนระดับรัฐมนตรียืนยันแล้ว ตนก็เบาใจ ไม่เคยคิดว่าคนระดับรัฐมนตรีจะกล้าโกหกกลางสภา คิดว่ามีการทำสัญญา จองซื้อ หรือลงนามกันแล้ว แต่ปรากฏว่า หลังอภิปรายไม่ไว้วางใจผ่านเพียง 2 เดือน ถึงเพิ่งจะมามีครม. แก้สัญญาจากจำนวน 23 ล้านโดส เป็น 61 ล้านโดส
ต่อมาวันที่ 24 ก.พ.64 นายอนุทิน บอกไทยมีวัคซีนโควิดมากสุดในเอเชีย ถ้านับเป็นอัตราส่วนประชากร ไทยไม่แพ้ใครในโลกนี้ รัฐมนตรีพูดแบบนี้ เป็นใครคงคิดว่าได้ลงนาม ระหว่างคู่สัญญาไม่มีใครกล้าคิดว่า จะมีแผนจัดหาวัคซีนลวงโลก ภายใต้การบริหารงาน และคบคิดกัน ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ตนแต่เพิ่งมาเชื่อ เมื่อไม่นานมานี้ จากการค้นข้อมูลการเบิกจ่ายเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 ทำให้รู้ความจริงว่า แผนงาน และโครงการเพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ป้องกันวัคซีนโควิด และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ ที่มีวงเงินอนุมัติสูงถึง 1.5 หมื่นล้านบาท เบิกจ่ายไปได้แค่ 1,081 ล้านบาท เบิกจ่ายได้แค่ 7% แผนงานโครงการด้านสาธารณสุข เพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินมีวงเงินอนุมัติไป 1,727 ล้านบาท เบิกไปได้เพียง 156 ล้านบาท คิดเป็น 9%
จากนั้นนายวิโรจน์ได้เปิดคลิปของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ให้สัมภาษณ์แผนการจัดหาวัคซีนตามเป้าหมายในแต่ละเดือน โดยเมื่อใช้คำกล่าวว่า แผนการจัดหาวัคซีนลวงโลก ซึ่งรัฐบาลได้รับการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าฯ ในเดือนมิถุนายน เพียง 5,130,000 โดส ต่ำกว่า แผนการจัดหาที่ต้องได้รับ 6,333,000 โดส ต่างกันถึง 1,200,000 โดส ทำให้หลายคนถูกเลื่อนฉีดวัคซีนจนต้องตาย ต่อมาวันที่ 2 ก.ค. ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็ได้เปิดเผยว่าแอสตร้าฯ น่าจะส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทยได้เพียงเดือนละ 5-6 ล้านโดสเท่านั้นยืนยัน ว่าไม่เป็นไปตามแผน 61 ล้านโดส ทำให้ประชาชนร้องอุทานว่าที่ผ่านมารัฐบาลของประชาสัมพันธ์แบบที่ผ่านมาได้อย่างไร
เมื่อเข้าไปดูในตัวสัญญาทั้งหมดก็พบว่า สัญญาที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำเอาไว้ ไม่ได้มีการระบุประมาณการการส่งมอบในแต่ละเดือนเอาไว้จริงๆ พล.อ.ประยุทธ์ ไปทำสัญญาที่หละหลวมแบบนี้ได้อย่างไร แผนการจัดหาวัคซีนลวงโลกถูกสารภาพจนสิ้นไส้ ในช่วง 15-18 ก.ค.เหมือนจังหวะซิตคอม เมื่อนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การส่งมอบวัคซีนแอสตร้าฯ 61 ล้านโดส ได้ขยายกรอบเวลาไปถึงเดือนพ.ค.65 โดยไม่ได้ระบุว่าต้องส่งมอบภายในปี 2564 นอกจากนี้ที่ผ่านมาประชาชนคิดว่ารัฐบาลได้เซ็นสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้วแต่ความจริงเพิ่งจะเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นี้เอง
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นอกจากนี้หากพิจารณาจากหนังสือจากคณะกรรมกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ นร 1106/(คกง.) 207 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2563 ระบุชัดว่าหากใช้เงินกู้อุดหนุนบริษัทเอกชน ซึ่งในที่นี้คือบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ ในการผลิตวัคซีนชนิด ไวรัล เวกเตอร์ ต้องมีเงื่อนไขจำกัดสิทธิการส่งออกเพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิ์ในการซื้อวัคซีนที่ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนที่ต้องการ ถ้านำเงินกู้ไปอุดหนุนก็ต้องรับกับเงื่อนไขนี้ สุดท้ายประชาชนอยากรู้ว่านำเงินกู้หรือนำเงินส่วนไหนไปอุดหนุน เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจอนุมัติงบกลาง ในวงเงิน 600 ล้านบาทไปอุดหนุนให้กับบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ โดยไม่นำเงินกู้ไปอุดหนุน เพราะหากใช้เงินกู้ก็ต้องรับกับเงื่อนไขจำกัดการส่งออก จากนั้นนายอนุทินก็รับไม้ต่อ ไปลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงในการทำสัญญา โดยยอมรับข้อตกลงกับทางแอสตร้าฯ ให้ส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จึงไม่กล้าบังคับใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงด้านวัคซีน เพื่อจำกัดการส่งออกวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์
นายวิโรจน์ กล่าวว่า เมื่อวัคซีนแอสตร้าฯ ไม่เป็นไปตามเป้าจึงทำให้ไทยต้องไปยืมวัคซีนจากประเทศภูฏานมา 1.5 แสนโดส ใช่หรือไม่ นอกจากนี้รัฐบาลยังดึงดันซื้อวัคซีนซิโนแวค ทั้งที่ตอนนี้การระบาดในประเทศเป็นเชื้อเดลต้า และวัคซีนซิโนแวคมีข้อท้วงติงว่ามีประสิทธิภาพที่ไม่สูง พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทินมีเจตนาเอาชีวิตของประชาชนทั้งประเทศไปเสี่ยงเดิมพันกับแอสตร้าฯ ที่ผลิตโดยบริษัทเอกชน ต่อให้มีปัญหาเกิดขึ้นก็จะสั่งซื้อวัคซีนที่สามารถสั่งซื้อได้เร็ว มาฉีดแก้ขัดไปก่อน กีดกันวัคซีนยี่ห้ออื่น ไม่ยอมซื้อวัคซีนไฟเซอร์มาสำรองไว้ตั้งแต่แรก ไม่ยอมให้วัคซีนยี่ห้ออื่นมาตัดหน้า แย่งซีนวัคซีนที่ตัวเองตั้งธงเอาไว้ จนการระบาดเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และก็ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการโคแว็กซ์
โดยอ้างว่า ไม่อยากซื้อวัคซีนในราคาแพง ซึ่งตนไม่พูดถึงเรื่องราคา เพราะต่อให้วัคซีนแพงแค่ไหน ก็ไม่มีทางแพงกว่าชีวิตของประชาชน ไม่มีทางแพงกว่าเงินเยียวยาที่รัฐบาลต้องจ่าย และไม่มีทางแพงกว่าความย่อยยับทางเศรษฐกิจ โดยพล.อ.ประยุทธ์ ต้องเป็นผู้รับผิดชอบที่ไม่เข้าร่วมโครงการโคแวกซ์ จนไม่มีวัคซีนให้ประชาชนที่เพียงพอ จะโยนบาปให้ข้าราชการไม่ได้
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า นายอนุทิน ชี้แจงกับสภาฯ ว่าซื้อวัคซีนซิโนแวคมาแล้ว 30 ล้านโดส ใช้เงินไป ประมาณ 12,000 ล้านบาท ก็ต้องถามว่า ตอนที่นายอนุทินชี้แจงจงใจลืมเปลี่ยนหน่วยสกุลเงิน จากดอลลาร์สหรัฐ เป็นบาทหรือไม่ จงใจทำให้ตัวเลขน้อย เป็นการนำข้อมูลเท็จมาชี้แจง เพื่อหลอกลวงประชาชนหรือไม่ ส่วนกรมการแพทย์พยายามทำให้ประชาชนเข้าถึงยาฟาวิพิราเวียร์ได้เร็วที่สุดเพื่อลดอัตราการเสียชีวิต แต่พล.อ.ประยุทธ์กลับมีความคิดที่จะกลบตัวเลข ไม่อยากมีงาน หรือมีการรายงานตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนต้องตรวจซ้ำตรวจซ้อน กว่าผู้ป่วยจะเข้าถึงยาอาการก็หนัก และอาจเสียชีวิต ต่อมาพล.อ.ประยุทธ์ กลับคิดที่จะออกกฎหมายที่นิรโทษกรรมล่วงหน้าให้ตัวเองและพวก ผ่านการออกพระราชกำหนดจำกัดความรับผิดสำหรับบุคลากรสาธารณสุข ซึ่งต่อมาได้กลับเปลี่ยนแนวทางเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติโรคติดต่อ เพื่อเป็นการสอดไส้
นายวิโรจน์ กล่าวว่า มีการอุปโหลกแผนวัคซีนลวงโลกมาหลอกลวงประชาชน ซ้ำร้ายยังบริหารระบบสาธารณสุขจนล้มเหลว ชีวิตสิ้นหวังรอติด รอตรวจ รอตาย สุดท้ายยังต้องรอเตา จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพล.อ. ประยุทธ์ และนายอนุทิน โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ ที่ตนอยากจะบอกว่า ลูกคุณ คุณก็รักลูกสาวของตนอายุ 7 ขวบ เมื่อวานนี้เห็นชื่อของเขา อยู่บนพาวเวอร์พ้อย ท่านถึงขั้นตามเด็กป.1 แล้วหรือครับ ถ้าอยากจะตามไปตามพ่อผม เพราะพ่อผมรอพล.อ.ประยุทธ์อยู่นานแล้ว คิดว่า หัวเด็ดตีนขาดทั้งสองคนก็คงจะไม่ลาออกแน่ ขอให้ลาออกจากความเป็นคนอาจดูง่ายกว่า ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของสภาฯ ที่จะต้องกอบกู้ความหวังของประชาชนทั้งประเทศให้กลับคืนมา ด้วยการดึงให้ทั้งสองคนพ้นจากตำแหน่ง ไม่ให้ก่อกรรมทำเข็ญกับประชาชนได้อีกต่อไป ปลายทางของคนทั้งสองคงไม่พ้นนรกโลกันตร์ แต่ก่อนนั้นความหวังของประชาชนคือ อยากเห็นคนทั้งสองอยู่ในคุกตะราง” นายวิโรจน์ กล่าว
นายวิโรจน์ จึงกล่าวอธิบายต่อว่า จากนั้นปรากฏว่ารัฐบาลได้รับการส่งมอบวัคซีนแอสตร้าฯ ในเดือนมิถุนายน เพียง 5,130,000 โดส ต่ำกว่า แผนการจัดหาที่ต้องได้รับ 6,333,000 โดส ต่างกันถึง 1,200,000 โดส ทำให้หลายคนถูกเลื่อนฉีดวัคซีนจนต้องตาย ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ก็ได้เปิดเผยว่าแอสตร้าฯ น่าจะส่งมอบวัคซีนให้กับรัฐบาลไทยได้เพียงเดือนละ 5-6 ล้านโดสเท่านั้นยืนยัน ว่าไม่เป็นไปตามแผน 61 ล้านโดส ทำให้ประชาชนร้องอุทานว่าที่ผ่านมารัฐบาลของประชาสัมพันธ์แบบที่ผ่านมาได้อย่างไร เมื่อเข้าไปดูในตัวสัญญาทั้งหมดก็พบว่า สัญญาที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำเอาไว้ ไม่ได้มีการระบุประมาณการการส่งมอบในแต่ละเดือนเอาไว้จริงๆ พล.อ.ประยุทธ์ ไปทำสัญญาที่หละหลวมแบบนี้ได้อย่างไร แผนการจัดหาวัคซีนลวงโลกถูกสารภาพจนสิ้นไส้ ในช่วง 15-18 กรกฎาคม เหมือนจังหวะซิตคอม เมื่อนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การส่งมอบวัคซีนแอสตร้าฯ 61 ล้านโดส ได้ขยายกรอบเวลาไปถึงเดือนพฤษภาคม 2565 โดยไม่ได้ระบุว่าต้องส่งมอบภายในปี 2564 นอกจากนี้ที่ผ่านมาประชาชนคิดว่ารัฐบาลได้เซ็นสัญญาซื้อขายเรียบร้อยแล้วแต่ความจริงเพิ่งจะเซ็นสัญญาเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 นี้เอง
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้หากพิจารณาจากหนังสือจากคณะกรรมการกันกลองการใช้จ่ายเงินกู้ ที่ นร 1106/(คกง.) 207 ลงวันที่ 24 ส.ค.63 ระบุชัดว่าหากใช้เงินกู้อุดหนุนบริษัทเอกชน ซึ่งในที่นี้คือบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ ในการผลิตวัคซีนชนิด ไวรัล เวกเตอร์ ต้องมีเงื่อนไขจำกัดสิทธิการส่งออกเพื่อให้ประเทศไทยได้รับสิทธิ์ในการซื้อวัคซีนที่ผลิตในไทยเป็นอันดับแรกตามจำนวนที่ต้องการ ถ้านำเงินกู้ไปอุดหนุนก็ต้องรับกับเงื่อนไขนี้ สุดท้ายประชาชนอยากรู้ว่านำเงินกู้หรือนำเงินส่วนไหนไปอุดหนุน เมื่อวันที่ 25 ส.ค.63 พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจอนุมัติงบกลาง ในวงเงิน 600 ล้านบาทไปอุดหนุนให้กับบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์ โดยไม่นำเงินกู้ไปอุดหนุน เพราะหากใช้เงินกู้ก็ต้องรับกับเงื่อนไขจำกัดการส่งออก จากนั้นนายอนุทินก็รับไม้ต่อ ไปลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงในการทำสัญญา โดยยอมรับข้อตกลงกับทางแอสตร้าฯ ให้ส่งออกโดยปราศจากข้อจำกัด เมื่อเป็นเช่นนี้พล.อ.ประยุทธ์ และนายอนุทิน จึงไม่กล้าบังคับใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงด้านวัคซีน เพื่อจำกัดการส่งออกวัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสยามไบโอไซแอนซ์
นายวิโรจน์ กล่าวว่า นายอนุทิน ชี้แจงกับสภาฯ ว่าซื้อวัคซีนซิโนแวคมาแล้ว 30 ล้านโดส ใช้เงินไป ประมาณ 12,000 ล้านบาท ก็ต้องถามว่า ตอนที่นายอนุทินชี้แจงจงใจลืมเปลี่ยนหน่วยสกุลเงิน จากดอลลาร์สหรัฐ เป็นบาทหรือไม่ จงใจทำให้ตัวเลขน้อย เป็นการนำข้อมูลเท็จมาชี้แจง เพื่อหลอกลวงประชาชนหรือไม่ มีการอุปโหลกแผนวัคซีนลวงโลกมาหลอกลวงประชาชน ซ้ำร้ายยังบริหารระบบสาธารณสุขจนล้มเหลว ชีวิตสิ้นหวังรอติด รอตรวจ รอตาย สุดท้ายยังต้องรอเตา จากพฤติกรรมที่ผ่านมาของพล.อ. ประยุทธ์ และนายอนุทิน โดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ ที่ตนอยากจะบอกว่า ลูกคุณ คุณก็รักลูกสาวของตนอายุ 7 ขวบ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าระหว่างที่นายวิโรจน์อภิปรายมีองครักษ์พิทักษ์นายอนุทิน ของพรรคภูมิไทยใจ อาทิ นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ซึ่งได้เคยประกาศตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์นายอนุทิน ได้ลุกขึ้นประท้วง ว่า ประธานฯ เพิกเฉยกับคำว่าวัคซีนลวงโลก ถ้าจะบอกว่าด้อยค่าหรือไม่มีประสิทธิภาพถือว่ารับได้
ทำให้นายวิโรจน์ กล่าวชม นายสุชาติว่า ประธานสภาฯ เก่ง ที่สามารถฟังภาษางูได้ นายคารมจึงตอบโต้ทันทีว่า ตนมีสิทธิ์ประท้วง เพราะ กิริยามารยาทและรูปแบบการอภิปรายเป็นแบบนี้ จะส่อเสียดตน หรือจะเก่งกาจ จะลีลาก็ไป ตนก็ไม่ได้กลัวท่าน
นอกจากนี้นายวิโรจน์ยังกล่าวเหน็บแหนมว่า การพูดมีงูชุม ทำให้นายคารม สวนทันควันว่า นายวิโรจน์จะบอกว่า ตนเป็นงูเห่าก็พูดมาเลย ตนเป็นส.ส. ที่มีจิตสำนึกต่อบ้านเมือง รักษาประโยชน์ของประชาชน โดยนายสุชาติ ได้วินิจฉัยให้นายวิโรจน์ ถอนคำพูด เพราะสภาฯ ไม่มีงู ขณะที่นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นกล่าวว่า อยากให้ผู้ประท้วงบอกชื่อ นามสกุล และพรรคด้วยว่าอยู่พรรคอะไร และนั่งอยู่ในที่ของพรรคใคร และได้อภิปรายจนจบ