วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlight''บิ๊กตู่''ประกาศรับนักท่องเที่ยวจาก10 ปท.เสี่ยงต่ำ ไม่ต้องกักตัว 1 พ.ย.นี้
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

”บิ๊กตู่”ประกาศรับนักท่องเที่ยวจาก10 ปท.เสี่ยงต่ำ ไม่ต้องกักตัว 1 พ.ย.นี้

รัฐบาลออกแถลงการณ์ เปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศความเสี่ยงต่ำ 10 ประเทศและ
1 ธันวาคมจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ในร้านอาหารได้

เมื่อวันที่ 11 ต.ค.64 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ออกแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะเรื่อง “เปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว’’ ว่า หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา เราได้ผ่านความท้าทายที่หากไม่นับช่วงเวลาศึกสงคราม นี่ถือเป็นความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย จากการแพร่ระบาดของโควิด-19เป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่มีใครในประเทศ ไม่ได้รับผลกระทบ และเช่นเดียวกัน ก็ไม่มีประเทศไหนในโลก ที่ไม่ได้รับผลกระทบที่ผ่านมา เป็นความหนักใจที่สุดในชีวิตของผมเองด้วย ที่ต้องตัดสินใจเลือก ระหว่างปกป้องชีวิตคน กับปกป้องการทํามาหากิน เป็น 2 ทางเลือกที่ไม่สามารถแยกขาดออกจากกันได้เมื่อเราเลือกที่จะปกป้องชีวิตประชาชน

เรากลับต้องทําให้ชีวิตเหล่านั้นพบเจอกับความยากลําบากในการทํามาหาเลี้ยงชีวิต ต้องอยู่อย่างไม่มีรายได้ หรือหากเราเลือกที่จะปกป้องการทํามาหากินตามปกติของประชาชน เราก็คงต้องเจอกับการสูญเสียชีวิต ที่อาจจะเป็นคนในครอบครัว เพื่อน เพื่อนบ้าน หรือแม้กระทั่งคนที่เป็นเสาหลักที่หาเลี้ยงครอบครัวเราการต้องเจอกับทางเลือกแบบนี้ทําให้เราต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ช้าไม่ได้ และเราทําแบบ รอดูสถานการณ์ก่อน ไม่ได้ ดังนั้นตั้งแต่แรกเริ่มที่เราต้องเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของโควิด-19

ผมเลือกที่จะไม่ยอมให้มันมาพรากเอาชีวิตของพี่น้องคนไทยไป เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก เพราะฉะนั้น ผมได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนแน่วแน่ ปฏิบัติตามคําแนะนําของผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาธารณสุขที่ยอดเยี่ยมของเรา ที่มีอยู่มากมายหลายท่าน เราลงมือทําอย่างรวดเร็ว ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มงวดต่างๆ พร้อมกับขอความร่วมมือจากประชาชนคนไทยด้วยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสังคม เผชิญหน้ากับวิกฤตที่เกิดขึ้น

วันนี้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในโลกในการปกป้องรักษาชีวิตของประชาชนและด้วยความเสียสละอย่างมหาศาล อดทนเจอกับความยากลําบากในการทํามาหากิน สูญเสียรายได้ สูญเสียเงินเก็บ ธุรกิจพัง สิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พวกเราแลกไป เพื่อรักษาชีวิตของพ่อแม่พี่น้อง และเพื่อนของเราเอาไว้ ให้พวกเค้ายังคงอยู่กับเราในวันนี้

วันนี้ความเสี่ยงในเรื่องการสูญเสียชีวิตที่จะเกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19ในประเทศไทยกําลังค่อยๆ ลดลง ถึงแม้ว่า ความเสี่ยงนั้นจะยังมีอยู่ และเรายังต้องระวัง รักษาความสามารถของระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล และบุคลากรทางการแพทย์ ของเราอยู่ก็ตามตอนนี้ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องค่อยๆ เตรียมตัว กล้าที่จะเผชิญหน้ากับโควิด-19 โดยมีความพร้อมเรื่องยารักษาและวัคซีนป้องกันมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อไปอีกไม่นาน เราก็จะต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับมันเหมือนกับโรคภัยอื่นๆ ที่กลายเป็นโรคประจําถิ่น

วันนี้ผมอยากประกาศ หนึ่งก้าวเล็กๆ แต่เป็นก้าวที่สําคัญ ที่เรากําลังจะเดินหน้า บนเส้นทางที่จะ
ช่วยให้พี่น้องประชาชน สามารถกลับมาทํามาหาเลี้ยงตัวเองกันได้อีกครั้งในช่วงหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวสําคัญของประเทศไทยต่างค่อยๆ เริ่มอนุญาตให้ประชาชนของเค้า เดินทางได้โดยไม่มีเงื่อนไขที่ยุ่งยากมากมายอย่างเช่น อังกฤษ ตอนนี้เพิ่งจะอนุญาตให้ประชาชนเดินทางมาประเทศไทยได้โดยไม่ยุ่งยาก หรืออย่าง สิงคโปร์ และออสเตรเลีย ก็เพิ่งเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไข ในการเดินทางไปต่างประเทศของประชาชน

ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแบบนี้ เราเอง แม้ยังต้องระมัดระวัง แต่ก็ต้องเดินหน้าให้ไว เพื่อไม่ให้เสียโอกาส ที่อย่างน้อย เราจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวมาได้บ้าง ในช่วงเทศกาลเดินทางท่องเที่ยววันหยุดสิ้นปีใน 3 เดือนข้างหน้านี้เพื่อสนับสนุนส่งเสริมการทํามาหากินของประชาชนนับล้านๆ คน ในภาคการท่องเที่ยว การเดินทาง และภาคธุรกิจพักผ่อนหย่อนใจ และบันเทิง รวมถึงภาคธุรกิจอื่น อีกมากมายที่เกี่ยวข้อง


เพราะฉะนั้น วันนี้ผมได้สั่งการให้ ศบค. และ กระทรวงสาธารณสุข ร่วมพิจารณา โดยตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มเปิดรับการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยไม่ต้องกักตัว สําหรับผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว และเดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ โดยมาจากประเทศที่ เรากําหนดว่า เป็นประเทศความเสี่ยงตํ่า เราจะขอเพียงแค่ เมื่อเดินทางเข้าประเทศไทย ทุกคนต้องแสดงตัวว่าปลอดเชื้อโควิด-19 โดยต้องมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งทําการตรวจก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะมีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 อีกครั้ง เมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย หลังจาก
นั้น จึงสามารถเดินทางไปพื้นที่ต่างๆ ได้อย่างอิสระ เช่นเดียวกับที่คนไทยปกติทั่วไปสามารถทําได้


ในเบื้องต้น เราเริ่มต้นกําหนดรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า ที่จะสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้
โดยไม่ต้องกักตัว ไว้ที่อย่างน้อย 10 ประเทศ ซึ่งจะรวมประเทศอย่างเช่น อังกฤษ สิงคโปร์ เยอรมนี จีน และอเมริกา โดยเราตั้งเป้าจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้นอีก ภายในวันที่ 1 ธันวาคม และหลังจากนั้น ภายในวันที่ 1 มกราคม เราจะเพิ่มจํานวนประเทศให้มากขึ้น อย่างกว้างขวาง

ส่วนผู้ที่มาจากประเทศ ที่ไม่ได้อยู่ในรายชื่อประเทศความเสี่ยงตํ่า เรายังให้การต้อนรับเข้าประเทศ ไทย แต่จําเป็นต้องมีการกักตัว ตามเงื่อนไขและข้อกําหนดพร้อมกันนี้ภายในวันที่ 1 ธันวาคม เราจะพิจารณาอนุญาตให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ในร้านอาหารได้ และจะพิจารณาอนุญาตให้สถานที่พักผ่อนหย่อนใจ และสถานบันเทิง เปิดให้บริการได้ ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุขที่เหมาะสม เพื่อสนับสนุนและกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว การพักผ่อนและบันเทิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่เรากําลังจะเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสปีใหม่

ผมรู้ว่าการตัดสินใจแบบนี้มีความเสี่ยง ที่เกือบจะแน่นอนเลยว่า เมื่อเราเริ่มต้นการผ่อนคลายต่างๆ จะทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เป็นการชั่วคราว ซึ่งเราต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประเมินดูว่า เราจะรับมือกับสถานการณ์นั ้นอย่างไร เราต้องไม่ปล่อยโอกาสนี้ เพราะถ้าเราต้องเสียโอกาส ในช่วงเวลาทองของการทํามาหากินไปอีก เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ผมคิดว่าประชาชนคงรับมือไม่ไหวอีกต่อไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราเห็นว่า ในสองสามเดือน หรือสี่เดือนข้างหน้า มีสายพันธุ์ใหม่ที่อันตรายมากๆ เกิดขึ้นอีก แน่นอนว่า เราก็ต้องจัดมาตรการที่เหมาะสมและพอเหมาะพอดีมาจัดการคุมสถานการณ์เอาไว้ให้ได้

เมื่อเรารู้ว่า ไวรัสนี้ได้ทําให้ทั่วโลกต้องตกใจมาแล้วหลายรอบ ดังนั้น เราต้องพร้อมรับมือ หากมันเกิดขึ้นอีกเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ผมได้ตั้งเป้าที่จะเปิดรับนักท่องเที่ยวเข้าประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว ให้ได้ภายใน 120 วัน พร้อมกับเร่งเครื่องการฉีดวัคซีนให้ประชาชน

วันนี้ผมขอใช้โอกาสนี้ ชื่นชมความสําเร็จที่ยิ่งใหญ่ ของเจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขทุกท่าน
เจ้าหน้าที่และผู้ปฏิบัติงาน ส่วนงานอื่นๆ รวมถึงพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน สําหรับความร่วมมือ
ของทุกท่าน ที่ตอบสนองต่อคําร้องขอ ของผม เมื่อเดือนมิถุนายน


• หลังจากที่เราตั้งเป้า 120 วัน ก็ได้มีความพยายามอย่างเต็มที่ ทําทุกวิถีทางเพื่อจัดหาวัคซีนมาให้ได้เพิ่มมากขึ้น และแย่งชิงกับประเทศอื่น เพื่อให้เราได้รับส่งมอบวัคซีนเข้ามา ซึ่งทั้งหมดนี้เราประสบความสําเร็จอย่างมาก การรับส่งมอบวัคซีนของประเทศไทย เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึง 3 เท่าในทันที จากที่เดือนพฤษภาคม เราได้รับส่งมอบวัคซีน 4 ล้านโดส กลายเป็น เราได้รับส่งมอบวัคซีน ถึง 12 ล้านโดสในเดือกรกฎาคม และได้รับส่งมอบวัคซีน อีกถึงเกือบ 14 ล้านโดสในเดือนสิงหาคม และวันนี้ เราจะได้รับส่งมอบวัคซีนเข้าประเทศไทย ถึงมากกว่า 20 ล้านโดสต่อเดือน ไปจนถึงสิ้นปี รวมเป็นวัคซีนจํานวนมากกว่า
170 ล้านโดส เกินเป้าหมายที่เราตั้งไว้เป็นอย่างมาก

• ในขณะเดียวกัน เพื่อที่จะสนับสนุนเป้าหมาย 120 วัน เจ้าหน้าที่และบุคลากรสาธารณสุขได้ทํางานกันอย่างไม่มีเหน็ดเหนื่อย เร่งเครื่องการฉีดวัคซีน รวมทั้งพี่น้องประชาชน ต่างก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ในการลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีน ถึงแม้ว่าจะมีความไม่สะดวกสบายในเรื่องของการนัดหมายบ้างก็ตาม ซึ่งผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ จากเดิมที่เราฉีดวัคซีนได้อยู่ที่ประมาณ 80,000 โดสต่อวัน เมื่อเดือนพฤษภาคม แต่หลังจากการตั้งเป้า 120วัน เพียงหนึ่งเดือน จํานวนการฉีดวัคซีนต่อวันของประเทศไทย พุ่งขึ้นทันที ทีมสาธารณสุขของไทย ดันยอดการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า และดันขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขึ้นที่ประเทศไทยติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่ฉีดวัคซีนได้เร็วที่สุดในโลก

ปัจจุบัน เฉลี่ยแล้ว เราฉีดวัคซีนได้มากกว่า 700,000 โดสต่อวัน และในบางวัน เราฉีดวัคซีนได้มาก เกินกว่า 1 ล้านโดสก็ยังมีภายหลังการตั้งเป้า120 วัน เปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัว เมื่อกลางเดือนมิถุนายน เพียงไม่นานทั่วโลกต้องเจอกับการแพร่ระบาดที่รุนแรงของสายพันธุ์เดลต้า ที่ทําให้มีจํานวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูง
มาก ทั่วโลก ในช่วงเดือนสิงหาคม เช่นเดียวกับในประเทศไทย ตอนนั้น หลายคน คงทําใจแล้วว่า
เราไม่น่าจะสามารถเปิดประเทศ โดยไม่ต้องกักตัวได้ ภายในปีนีตอนนี้แม้ว่าสถานการณ์ในหลายๆ ประเทศยังคงต่อสู้กับเดลต้าอยู่ แต่การที่เรา กําลังจะสามารถเริ่มเปิดให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป

การที่เราทําแบบนี้ได้ แสดงให้เห็นถึงความสําเร็จ ของการที่คนไทยร่วมมือกัน ทํางานด้วยความมุ่งมั่น และเป็นหนึ่งเดียว ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข หน่วยงาน องค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน รวมถึงความร่วมมือกันของประชาชนคนไทยทุกคน

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ประเทศไทยได้ทําสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เป็นสิ่งที่คนไทยทุกคนสามารถภูมิใจ
ได้กับการมีส่วนร่วม ที่ทําให้ความสําเร็จนี้เกิดขึ้น และเกิดขึ้นถูกเวลา เพราะเป็นช่วงเวลาพร้อมๆ กับที่ประเทศอื่นเริ่มผ่อนคลายเงื่อนไขและข้อจํากัด ในการเดินทางของประชาชนของเค้าด้วยเหมือนกัน นี่จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง ที่เราจะเริ่มเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวให้เข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img