“ดร.ธรรม์ธีร์” ชี้ กฎหมายไทยตามไม่ทันโลกนวัตกรรม ต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน หลังแฟลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทั่วโลกให้การยอมรับ หยุดให้บริการภาษาไทย ทำสูญเสียโอกาสนักลงทุนชาวไทย
เมื่อวันที่ 15 พ.ย.64ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ดิจิทัลเพื่อสร้างพลังประชาชน พรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่แพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกรายหนึ่งหยุดให้บริการภาษาไทยว่า เป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนไทยสูญเสียโอกาสเข้าถึงตลาดลงทุนระดับโลก จากแพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับการยอมรับเป็นอันดับหนึ่งของโลก เพียงเพราะไม่ได้ดำเนินการขออนุญาต ตามที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนด
“วันนี้รัฐบาลประกาศให้ความสำคัญกับนวัตกรรม แต่ปัจจุบันกฎหมายหลายตัว ยังไม่ส่งเสริมให้คนไทยสามารถสร้างนวัตกรรมได้ภายในประเทศ ดังที่เห็นสตาร์ทอัพที่คนไทยก่อตั้งหลายราย ต้องจดทะเบียนในต่างประเทศ หรือกรณีแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลระดับโลกรายหนึ่งหยุดให้บริการภาษาไทย ซึ่งกฎระเบียบที่ทำเพื่อปกป้องนักลงทุนเป็นสิ่งที่ดี แต่การมุ่งแต่จะป้องกันความเสียหายมากจนเกินไป จนสูญเสียโอกาสที่อาจทำให้เกิดผลบวกมากกว่าในภาพรวม เป็นการสะท้อนว่ากฎหมายไทยยังตามไม่ทันความก้าวหน้าของนวัตกรรมของโลก
พรรคไทยสร้างไทย ให้ความสำคัญกับนวัตกรรม เรามีนโยบายตั้งแต่การยกเลิกกฎหมายที่เป็นอุปสรรคกับนวัตกรรม สร้างกองทุนสตาร์ทอัพที่ติดจรวดให้คนไทยที่มีศักยภาพ และสร้างพื้นที่ทดลองทางนวัตกรรม (Sandbox) ที่ยึดหลักส่งเสริมให้นวัตกรรมเกิดขึ้นได้โดยไร้อุปสรรค ในขณะที่ก็สามารถจำกัดความเสียหายที่วัดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นายธรรม์ธีร์ กล่าวเพิ่มเติมว่าอีกประเด็นสำหรับนักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลไทย คือมาตรการภาษีที่ขอเสนอให้ทบทวน เพราะวันนี้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นตลาดเดียวกันทั่วโลก นักลงทุนย่อมต้องเข้าลงทุนในประเทศที่ปลอดภาษีหรือมีอัตราภาษีต่ำกว่า การลงทุนยุคดิจิทัลนี้ควรเปิดกว้าง ไม่เพียงแต่ยกเว้นภาษีเท่านั้น การสนับสนุนให้ประชาชนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่ตนเองสนใจประเภทใดก็ได้ผ่านการลดหย่อนภาษีเป็นสิ่งที่ควรทำ
“ยุคดิจิทัลนี้มีสินทรัพย์ที่ให้เลือกลงทุนเกิดขึ้นหลากหลาย ซึ่งนักลงทุนแต่ละคนมีความสนใจ มีความรู้ความเข้าใจแต่ละสินทรัพย์ในระดับที่แตกต่างกัน หากใครมีความรู้มากในสินทรัพย์นั้น ความเสี่ยงก็จะน้อย แต่หากความรู้น้อย ความเสี่ยงของเขาก็จะมาก แม้แต่การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีมานานอย่างอสังหาริมทรัพย์ หากไม่มีความรู้เกี่ยวเรื่องที่ดินในแปลงที่เราจะซื้อขาย เราก็มีความเสี่ยงมากที่จะขาดทุน ไม่ต่างกับการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ดังนั้นแทนที่จะปิดกั้น เรากลับต้องความรู้ให้กับนักลงทุนชาวไทย การลงทุนสินทรัพย์ใหม่ๆ ที่มองว่าเป็นความเสี่ยงสูง อาจพิจารณาให้มีการทดสอบหรือขอใบอนุญาตในการลงทุน จะเกิดผลดีกว่าการเหมารวมและปิดกั้น ปิดโอกาสประเทศไทย” นายธรรม์ธีร์กล่าว