วันเสาร์, พฤศจิกายน 23, 2024
spot_img
หน้าแรกHighlightศาลตัดสินโพสต์ FB ใส่ความ“อดีตนายก อบต.บางแก้ว” สั่งจำคุกคู่กรณี 6 เดือน
- Advertisment -spot_imgspot_img
spot_imgspot_img

ศาลตัดสินโพสต์ FB ใส่ความ“อดีตนายก อบต.บางแก้ว” สั่งจำคุกคู่กรณี 6 เดือน

เปิดคดีตัวอย่างเลือกตั้งท้องถิ่น หาเสียงใส่ความโจมตีทางเฟซบุ๊ก ศาลสมุทรปราการตัดสิน โพสต์กล่าวหา อดีตนายกฯอบต.บางแก้ว สุดท้ายพบเป็นการดิสเครดิตหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีฯ โดนจำคุกหกเดือน แต่รอลงอาญา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา มีการอ่านคำพิพากษาตัดสินคดีเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่น่าสนใจโดยวันดังกล่าว ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ได้อ่านคำพิพากษาในคดีที่ดร.ภัทรพล จำปารัตน์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ เป็นจำเลย

โดยที่มาที่ไปของคดีดังกล่าวเกิดจาก ดร.ภัทรพล ที่เป็นอดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลบางแก้ว (อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ)  ในช่วงปี 2555-2557 และเป็นคู่แข่งทางการเมืองกับจำเลย คือนายณัฐพงษ์ ในการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว เมื่อ 25 มิ.ย. 2563 และต่อมาพบว่าจำเลยได้พิมพ์ข้อความหมิ่นประมาทโจทก์โดยนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวของจำเลย ที่ใช้ชื่อ ณัฐพงศ์ แตงสุวรรณ ในรูปแบบสาธารณะด้วยข้อความว่า” ทำไมผมถึงต้องตัดสินใจลงสมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว คู่แข่งผมเป็นอดีตนายกฯ…. เมียเป็นผอ.คลัง..ปัจจุบันคู่เขยปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ทำไมมีเรื่องทุจริตติดตัวทุกคน เทศบาลเมืองบางแก้วเป็นท้องถิ่นที่มีฐานะการเงินดีมาก แต่ปัจจุบันมีปัญหาที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อนมากมาย มีคำถามว่าที่ผ่านมา อบต.ทำอะไรกันอยู่ ทำไม ทำไม มีเงินเยอะแยะ แต่ไม่มีอะไรที่ทำสำเร็จเพื่อรองรับความเจริญในอนาคตเลย มีแต่สร้างภาพขายฝันไปวันๆ “

คำพิพากษาระบุว่า โจทก์ฟ้องว่าข้อความดังกล่าวเป็นการใส่ความทำให้คนอ่านหรือคนเห็นข้อความเชื่อ และเกิดความรู้สึกดูหมิ่นเกลียดชัดโจทก์ ซึ่งข้อความดังกล่าวมีคนเห็น คนอ่านและแสดงความเห็นเกี่ยวกับข้อความดังกล่าวประมาณหนึ่งร้อยคน อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ด้วยการโฆษณา จึงฟ้องเพื่อขอให้ศาลลงโทษจำเลย

คำพิพากษาระบุโดยสรุปว่า พิเคราะห์พยานหลักฐานจากฝ่ายโจทก์และจำเลยแล้ว ได้ข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยเป็นนายกฯอบต.บางแก้ว ช่วง 2554-2560 และมีภรรยาเคยเป็นผอ.กองคลัง ต่อมา โจทก์ทราบเมื่อ 24 มิถุนายน 2563 ว่าจำเลยโพสต์ข้อความดังกล่าวที่โจทก์ระบุในคำฟ้อง ในเฟซบุ๊กของตัวเองจึงนำคดียื่นฟ้องต่อศาล แต่จำเลยให้การปฏิเสธว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการใช้สิทธิแสดงความเห็นโดยสุจริต เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยที่ประชาชนย่อมกระทำได้ ต่อมาโจทก์ขึ้นเบิกความต่อศาลว่าข้อความดังกล่าว หมายถึงตัวเอง ภรรยา และคู่เขย

ซึ่งข้อความดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหายและอับอาย เพราะโจทก์ไม่เคยถูกฟ้องคดีเกี่ยวกับการทุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ เพียงแต่ถูกตั้งกรรมการสอบสวนเรื่องที่ถูกร้องเรียน ข้อความดังกล่าวจึงไม่เป็นความจริง เป็นการใส่ความให้ร้ายโจทก์ แม้ขณะโพสต์ข้อความยังไม่มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว แต่ข้อความช่วงสุดท้าย ก็มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ให้โอกาสผม พูดจริงคิดดีทำได้ กลุ่มรักบางแก้ว” ที่เป็นการประกาศตัวว่าจะลงสมัครนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้วแข่งกับโจทก์

คำพิพากษาดังกล่าวระบุต่อไปโดยสรุปว่า ในการพิจารณาคดีในชั้นศาล พยานฝ่ายโจทก์ให้การว่า ข้อความดังกล่าว อ่านแล้ว ก็เข้าใจว่า บุคคลที่จำเลยเอ่ยถึงตามที่โพสต์ว่าคือโจทก์ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีนายกฯอบต.บางแก้ว ที่มีภรรยาเป็นผอ.คลัง และคู่เขยโจทก์ก็เป็นรักษาการนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว พยานจึงเห็นว่าข้อความดังกล่าวเป็นการใส่ความโจทก์ที่กำลังจะลงสมัครคัดเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว และพยานเบิกความว่า หากประชาชนเห็นข้อความดังกล่าว อาจเข้าใจว่าโจทก์เป็นบุคคลไม่ดี ทำให้โจทก์อาจไม่ได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศนตรีเมืองบางแก้วได้ ซึ่งความจริงแล้วโจทก์ไม่ได้เป็นเช่นนั้น

คำพิพากษาระบุอีกว่า ฝ่ายจำเลยได้เบิกความต่อศาลว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการแสดงความเห็นโดยสุจริต และยอมรับว่า ข้อความดังกล่าวหมายถึงโจทก์ โดยที่โพสต์เพราะเห็นว่าท้องถิ่นมีปัญหามากและไม่ได้รับการพัฒนา และต้องการให้คนที่เข้ามาอ่านได้ศึกษาว่าสิ่งที่โพสต์เป็นความจริงหรือไม่ เพราะโจทก์ก็เป็นบุคคลสาธารณะ จึงสามารถถูกตรวจสอบและวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตได้

สำหรับคำตัดสินในคดีดังกล่าว คำพิพากษาระบุโดยสรุปว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าว แม้จะมิได้ระบุเฉพาะเจาะจงชื่อของโจทก์ แต่เมื่อได้ความจากคำเบิกความของพยานของโจทก์และพยาน เบิกความสอดคล้องกันว่าอ่านข้อความข้างต้นแล้วหมายถึงโจทก์ รวมถึงจำเลยก็เบิกความยอมรับเช่นกันว่าหมายถึงโจทก์  และเห็นว่า เมื่ออ่านแล้วย่อมทำให้คนอ่านเข้าใจได้ว่าโจทก์มีพฤติการณ์ทุจริตในการบริหารในการบริหารงานเทศบาลเมืองบางแก้ว แม้โจทก์จะนำสืบว่าขณะโจทก์เป็นนายกอบต.บางแก้ว โจทก์เคยถูกมาตรา 44 ของหัวหน้าคสช.สั่งระงับการปฏิบัติหน้าที่ และถูกสำนักงานป.ป.ช.สอบสวน กรณีถูกกล่าวหาว่าเรียกรับผลประโยชน์จากการเก็บขยะห้างสรรพสินค้าหลายแห่ง แต่เมื่อไม่มีคำชี้ขาดจากคำตัดสินของศาลว่าโจทก์กระทำการดังกล่าว การโพสต์ข้อความดังกล่าวของจำเลยจึงเป็นการกล่าวหาผู้อื่น อันจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังได้ อีกทั้งในข้อความตามโพสต์วันดังกล่าว มีข้อความที่จำเลยใช้ในการหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองบางแก้ว โดยที่โจทก์ก็ยอมรับว่าจำเลยคือคู่แข่ง

“จึงเชื่อว่า เป็นการกล่าวหาเพื่อทำลายน้ำหนัก ในตัวโจทก์และเพื่อหาเสียงให้กับตนเองไปในเวลาเดียวกัน จึงไม่ถือว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ติชมด้วยความสุจริต อันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำกัน จึงเป็นการใส่ความโจทก์ด้วยการโฆษณา โดยประการที่จะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง การกระทำของจำเลย เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิด จำคุก 6 เดือน ปรับ 20,000 บาท แต่ไม่เคยปรากฏว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกจึงให้รอลงอาญาไว้ มีกำหนดสองปี” คำพิพากษาระบุ

- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_imgspot_img

Featured

- Advertisment -spot_img
Advertismentspot_imgspot_img
spot_imgspot_img