“สาธิต” ชูอสม.เรียกคะแนน ลั่นภาคกลางปชป.กวาดส.ส.เพิ่ม 26 ที่นั่ง ด้าน “เดชอิศม์” โว ภาคใต้กวาด 40 ที่นั่ง ดันยางพาราราคา กก.ละ100 บาท ขณะที่ “องอาจ” เชื่อกทม.กระแสกระเตื้องหันกลับมาหนุน
วันที่ 19 มี.ค.65 ที่รร.แคนทารีฮิลล์ จ.เชียงใหม่ พรรคประชาธิปัตย์จัดสัมมนาส.ส. รัฐมนตรี และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ของพรรค ซึ่งในช่วงบ่ายได้ให้รองหัวหน้าพรรค แต่ละคนนำเสนอผลการดำเนินงานที่ผ่านมา และนำเสนอแนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่รองรับการเลือกตั้ว โดยนายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคกลาง รายงานว่า ที่ผ่านมาทำให้ประชาชนส่วนใหญ่ อาจจะไม่ศรัทธาในพรรคการเมือง เพราะฉะนั้นงานหนักก็มาอยู่ที่ส.ส.เขต ซึ่งตนก็เป็นส.ส.เขต คนหนึ่งที่ทำพื้นที่ ส่วนงานในกระทรวงตนก็พยายามที่จะทำเพื่อให้เกิดถูกนำไปใช้ในเขตเลือกตั้ง โดยเฉพาะข้อมูลที่จะสามารถเชื่องโยงกันได้ เรื่อง อสม.ที่พรรคประชาธิปัย์เป็นผู้ริเริ่ม ประชาชนให้การตอบรับดี เพราะประชาธิปัตย์กับ อสม.เป็นครอบครัวเดียวกันไม่มีใครมาแยกกันได้
นายสาธิต กล่าวต่อว่า บางช่วงกระแสของเราดี แต่ภาคกลางก็จะมาเป็นอันดับที่สองหรือที่สามในบางช่วง เพราะภาคกลางเป็นภาคที่กินพื้นที่โดยรอบกรุงเทพฯ และเป็นพื้นที่ใหญ่ ความจริงรองหัวหน้าพรรคภาคกลางไม่ได้หมายความว่าตนจะสามารถทำงานและบริหารงานได้หมด ในบางจังหวัดเชน ประจวบคีรีขันธ์ เลขาธิการพรรคฯจะเป็นผู้ดูแล ดังนั้นโอกาสของการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาธิปัตตย์ภาคกลางจากส.ส. 9 ที่นั่ง หากการเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคพลังประชารัฐไม่ได้มีกระแสที่ดีขึ้นหรือตกต่ำลง ก็เป็นโอกาสของเราที่จะทำการบ้าน ถ้าราสามารถสร้างกระแสนิยมพรรคการเมืองที่เป็นพรรคที่เป็นสถาบัน เป็นพรรคที่ไม่มีเจ้าของได้ ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมผู้สมัครแล้ว 60-70 เปอร์เซนต์ และน่าจะได้กลับมา 26 ที่นั่ง โดยการลงพื้นที่จะมีการชี้เป้าหมาย เช่นที่จ.จันทบุรี ซึ่งหัวหน้าพรรคฯ ลงพื้นที่บ่อย เพราะเราต้องการส.ส.ยกจังหวัด
ด้านนายเดชอิศม์ ขาวทอง ส.ส.สงขลา ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคใต้ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การหาเสียงในภาคใต้ เราต้องชนะแน่นอน อย่างที่ตนเคยพูดไว้ว่าจะต้องได้ส.ส. 35 ที่นั่งนั้น ตน ก็ยังยืนยันว่าทำได้จริงๆ และเราควรจะมีนโยบายของภาคใต้ด้วย เช่นเรื่องการกระจายอำนาจ เพราะรัฐบาลล้มเหลวในเรื่องนี้อย่างสิ้นเชิง และควรผลักดันทะเลสาบสงขลาว่าจะทำอย่างไรให้มีการขับเคลื่อนให้สำเร็จ เพื่อส่งเสริมการค้าขาย ซึ่งจะสามารถยกระดับทุเรียน และยางพารา โดยเฉพาะราคายางพาราจะให้ได้ กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งจะทำเป็นนโยบายของพรรคต่อไป
“ยืนยันว่าถ้าทำตามยุทธาสตร์นี้เราจะได้ที่นั่งส.ส.เพิ่มขึ้นเป็น 40 ที่นั่งก็ได้ และผมให้การบ้านกับส.ส.ทุกคนไปแล้ว ถ้าทุกคนทำตามชนะอย่างแน่นอน และคนเดิมจะได้กลับมาอย่างแน่นอน ส่วนการเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.อย่างจ.สงขลา ผมจะเปิดตัวพร้อมกันทั้ง 9 เขต และ เห็นว่าจังหวัดไหนมีความพร้อมก็ควรจะเปิดตัวทั้งหมด อย่าเปิดตัว 1-2 เขต”นายเดชอิศม์ กล่าว
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะรองหัวหน้าพรรค ดูแล กทม.รายงานว่า การเตรียมการงานเมืองในพื้นที่กทม. และในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา เราได้เตรียมการเรื่องนโยบายสำหรับพื้นที่ กทม.มานานแล้ว โดยได้มีการเปิดเทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็น สอบถามความคิดเห็นทั้งคนในและนอกพรรค และกระบวนการอื่นๆ รวมถึงนำนโยบายที่เคยทำไว้ในอดีตมาปรับปรุงแก้ไข ให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน เมื่อดำเนินการตรงนี้เสร็จแช้วเราก็ได้ดำเนินการพิจา รณาหาบุคคบมาเป็นผู้สมัคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้จะมาลงสมัครเป็นผู้ว่ากทม. จนได้นายสุชัชชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ และในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์มีมีส.ส.ในกทม.เลย ได้ให้อดีตส.ส.ช่วยคัดเลือก ส.ก.
นายองอาจ กล่าวต่อว่าการทำงานในพื้นที่กทม.ภาครวมตอนนี้คือเดินหน้าเตรียม การรเลือกตั้งผู้ว่ากทม.และเลือกตั้งส.ก.ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมาก และทุกคนทราบดีว่าในการเลือกตั้งเมื่อปี 62 เราไม่ได้รับเลือกตั้งส.ส.กทม.เลยแม้แต่คนเดียว ซึ้งสาเหตุมาจากอะไรทุกคนก็ทราบกันดี แต่จากการลงพื้นที่มาต่อเนื่องของเราในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ได้เห็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่าผู้ที่เคยสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ที่ในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วไปสนับสนุนและลงคะแนนให้พรรคการเมืองอื่น ตอนนี้มีหลายพื้นที่ ที่คนเหล่านั้นหันกลับมาสนับสนุนประชาธิปัตย์ บางคนมาพูดกับตนว่า ขอโทษที่ครั้งที่แล้วไปเลือกพรรคอื่น แต่ครั้งนี้ขอลับมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ จะมาเลือกผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.และผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนคิดว่าตรงนี้เป็นสัญญาณที่ดี แต่นั่นก็เป็นความคิดเห็นของประชาชนบางสวน เพราะยังมีสิ่งที่สำคัญที่สุดคืออยู่ที่ตัวเอาเรา ตนจึงย้ำกับผูที่จะลงสมัครับเลือกตั้งส.ก.ของพรรคว่าทุกคนต้องทำงานหนักแข่งกับตัวเองเพื่อให้ประชาชนเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจและความพยายาของเราทุกวิถีทาง ซึ่งจะทำให้ผู้สมัครของพรรคทั้งที่ลงสมัครผู้ว่ากทม.และผู้สมัคร ส.ก.ได้รับชัยชนะ โดยภาพรวมตนเชื่อมั่นว่าสถานการณ์การเลือกตั้งในพื้นที่กทม.จะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน