ผบ.ตร. ย้ำจุดยืน “ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย” เดินหน้าปราบอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทั้งในและนอกประเทศ ชี้ไทยไม่ใช่ฐานตั้งแก๊งสแกมเมอร์ ยืนยันเอาผิดเด็ดขาดแม้เป็นตำรวจ พร้อมสู้กระแสกล่าวหาว่า “ตำรวจคือองค์กรอาชญากรรม” ด้วยความจริงและผลงาน
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 6 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยกล่าวถึงนโยบายปราบปรามกลุ่มมิจฉาชีพออนไลน์ว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติถูกจับตามองอย่างมากในฐานะหน่วยงานหลักที่บังคับใช้กฎหมาย ภายหลังรัฐบาลประกาศให้อาชญากรรมไซเบอร์เป็น “ภัยคุกคามระดับชาติ”
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศต่างทุ่มเทกำลังกายและกำลังใจเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ทั้งในมิติต่างประเทศและภายในประเทศ โดยยืนยันว่า “ประเทศไทยไม่ใช่ฐานที่ตั้งของอาณาจักรสแกมเมอร์” การกระทำผิดส่วนใหญ่มีต้นทางอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งตำรวจไทยได้ประสานความร่วมมือกับตำรวจสากลและสหประชาชาติในการติดตามผู้กระทำผิด ทั้งคดีหลอกลวง คอลเซ็นเตอร์ และการค้ามนุษย์ที่เชื่อมโยงกัน
ผบ.ตร. กล่าวว่า การปราบปรามเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ แต่ต้องเสริม “วัคซีนความรู้” ให้ประชาชน เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อซ้ำ พร้อมเปิดเผยว่า ได้สั่งตรวจสอบและตัดวงจรการส่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตที่อาจเชื่อมโยงกับการกระทำผิด รวมถึงให้ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) คัดแยกบุคคลต้องสงสัยที่เดินทางเข้าออกผิดปกติ โดยตนจะกำกับดูแลการสืบสวนด้วยตัวเอง
“ในทุกองค์กรย่อมมีทั้งคนดีและคนไม่ดี ผมยืนยันว่า หากมีตำรวจคนใดเกี่ยวข้องกับกระบวนการหลอกลวงหรืออาชญากรรม จะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ไม่ให้มีการช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น เพราะนี่คือสิ่งที่บั่นทอนศรัทธาของประชาชน” ผบ.ตร.กล่าว
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังกล่าวถึงกระแสโจมตีสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าเป็น “องค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่” ว่าเป็นคำกล่าวหาที่รุนแรงและบั่นทอนขวัญกำลังใจของเจ้าหน้าที่ทั่วประเทศ
“เราถูกพายุโจมตีเรื่องภาพลักษณ์อย่างหนัก แต่ผมจะไม่ตอบโต้ด้วยอารมณ์ จะตอบกลับด้วยการทำงานและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้คำมั่นกับนายกรัฐมนตรีว่า จะปฏิบัติตามนโยบายและ MOU นี้อย่างเต็มความสามารถ เพื่อปกป้องประชาชนและศักดิ์ศรีขององค์กร” ผบ.ตร.กล่าวทิ้งท้าย.
