‘นายกฯ อนุทิน’ เป็นประธานลงนาม MOU ผนึก 8 หน่วยงานหลัก ‘ประกาศสงคราม’ สแกมเมอร์ ลบครหาเป็นหนึ่งในขบวนการ ชี้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจใคร เอาผิดเด็ดขาด ทั้งเจ้าของ-คนอยู่เบื้องหลัง ขอมั่นใจรัฐบาล เชื่อตายตาไม่หลับหากมีอำนาจแล้วไม่ทำ ลั่น เรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ ไม่มีเกี้ยเซี๊ยะ ลุยอย่างเดียว! ยก เป็นผลงานทดแทนความเสียหาย ตอบแทนบุญคุณประเทศ
วันที่ 6พ.ย.68 นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ (Memorandum of Understanding: MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
นายอนุทิน กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานภาคเอกชน ได้มาร่วมลงนามใน บันทึกข้อตกลง ฝว่าด้วยความร่วมมือในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี อย่างพร้อมเพรียงกัน ถือเป็นก้าวสำคัญที่ประเทศไทย ได้มีการรวมกัน เพื่อการประกาศสงครามกับอาชญากรรมออนไลน์ และสงครามนี้เป็นสงครามที่เราจะต้องชนะเท่านั้น เพื่อปกป้องประชาชนทุกคนจากภัยสแกมเมอร์ที่กำลังบ่อนทำลายประเทศ เมื่อหนึ่งคนเป็นเหยื่อ ทุกครอบครัวจะได้รับผลกระทบ ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ คนจำนวนมากต้องประสบกับความทุกข์และความเครียดอย่างแสนสาหัส

ศักยภาพ ชื่อเสียง ความเชื่อมั่นของประเทศ ถูกบ่อนทำลายจากการกระทำของมิจฉาชีพ ชื่อเสียงที่ต้องเสื่อมเสีย ภาพลักษณ์ที่ถูกบั่นทอน มีผลต่อความเชื่อมั่นของประเทศไทย ในด้านการค้าการลงทุนและการท่องเที่ยว มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ความเสียหายที่ซ่อนอยู่จากภัยของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีมีมากมาย จนไม่สามารถที่จะประเมินค่าได้ นี่คือความมั่นคงอันดับต้นต้นของประเทศ ซึ่งรัฐบาลของตนได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นวาระแห่งชาติที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขป้องกันและปราบปรามให้สูญสิ้นไปให้จงได้
นายอนุทิน กล่าวว่า ดังนั้นต้องขอขอบคุณผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนผู้มีเกียรติที่มาร่วมกันลงนามในบันทึกความเข้าใจ ในวันนี้ สิ่งที่เราร่วมลงนามกันไปนั้น ไม่ใช่เพียงเอกสาร แต่เป็นอาวุธที่จะใช้ในการต่อสู้กับอาชญากรอย่างเป็นระบบ เพราะถือเป็นวาระแห่งชาติ ไม่ใช่ภารกิจของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นภารกิจร่วมกันของประเทศ รัฐบาลพร้อมสนับสนุนในทุกๆ ด้าน ทั้งงบประมาณ เทคโนโลยี และทรัพยากรทุกอย่าง เพื่อให้การปฎิบัติภารกิจต่างๆ อาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะออนไลน์ สแกมเมอร์ ให้เห็นผลจริง ทั้งในระยะสั้นและยั่งยืนในระยะยาว เพื่อให้ประเทศไทยเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยจากภัยสแกมเมอร์ ให้กับประชาชนและต้องทำให้เป็น ‘ดินแดนต้องห้าม’ ของการหลอกลวงทุกรูปแบบ ประเทศไทยต้องปลอดภัยจากสแกมเมอร์
MOU ที่ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีฉบับนี้ มีจุดประสงค์เดินหน้าปฏิบัติการเชิงลึกใน 5 ด้านหลัก ได้แก่
1.การบังคับใช้กฎหมายอย่างเฉียบขาดไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำความผิดหรือผู้สนับสนุนอยู่ข้างหลัง
2.การสร้างระบบประสานงานแบบบูรณาการเชื่อมโยงข่าวกรองและการสืบสวน
3.การยึดและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องทันทีตัดเส้นทางการเงินอาชญากร ไม่ให้ใช้ประเทศไทยเป็นฐานฟอกเงินได้อีกต่อไป
4.ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและ AI ในการตรวจจับเส้นทางเงินของมิจฉาชีพเพื่อสกัดก่อนที่จะเกิดเหตุ และ
5.การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชนให้มีความรู้เท่าทัน และมีการแจ้งเพื่อให้ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศได้ระมัดระวัง และพร้อมกันนี้ ให้ช่วยกันถือเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้กับสงครามป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีให้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ภาพที่ปรากฏในวันนี้ น่าจะมีความชัดเจนว่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับปัญหาอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์กันไปว่า เราไม่ได้ให้ความสำคัญ หรือเราเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เป็นเจ้าของสแกมเมอร์ เป็นผู้ที่มีส่วนร่วม คิดว่าภาพในวันนี้คงทำให้ปรากฏชัดเจนเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ไม่มีใครที่จะมีความอดทนต่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่ทำร้ายประเทศไทย ทุกคนที่ร่วมกันลงนามอยู่บนเวที เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ที่ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดในการเป็นผู้บริหารองค์กรที่แต่ละคนรับผิดชอบอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่จะทำให้หวั่นไหวในอนาคต สิ่งที่ทุกคนรวมถึงตน มีเจตนารมย์แน่วแน่ในการปฏิบัติที่จะต้องร่วมกันพยายามปกป้องประชาชนชาวไทยให้ปลอดภัยจากภัยสแกมเมอร์ให้จงได้ และทุกคนมีอายุราชการเหลือไม่กี่ปี ตนมั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้ เป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา แต่รู้จักผูกพัน ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันคือเป็นทั้งเพื่อนและพี่น้อง เราสามารถที่จะแสวงหาความร่วมมือ และสร้างพลัง ใช้โอกาสนี้ ใช้ความเป็นพี่น้องหัวหน้ารัฐบาล เป็นเพื่อนกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นพี่ของอธิบดีดีเอสไอ เป็นพี่ของผู้ว่าแบงค์ชาติ เป็นเพื่อนร่วมงานของปลัดกระทรวงหลายคน และเป็นคนแต่งตั้งปลัดกระทรวงมหาดไทย ดังนั้น ตนไม่มีวันที่จะต้องเกรงใจใครที่ตั้งใจจะมาทำร้ายประชาชน ขอให้ประชาชนเกิดความมั่นใจตนรู้จักเพื่อนพี่น้องเหล่านี้ดี และจะไม่มีวันหมดหน้าที่หรือเกษียณอายุราชการไปแล้ว บอกกับตัวเองไม่ได้ว่า ในขณะที่มีอำนาจ มีหน้าที่ มีภารกิจ ไม่ทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ปล่อยให้ประชาชนมีความเดือดร้อน ถึงกับตายตาไม่หลับ เราต้องการทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ด้วยเกียรติยศและได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ

ดังนั้น วันนี้รัฐบาล พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอให้ความมั่นใจว่าเรื่องนี้เคลียร์ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่มีเกี้ยเซียะ มีแต่ลุยลูกเดียว และจะถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลงาน และเป็นบุญคุณของประชาชนที่จะนำมาทดแทนเป็นสิ่งที่เราต้องทำขึ้นมาเพื่อขออภัยประชาชนในความเสียหายที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา และตั้งใจทำอย่างเต็มที่ขอให้ประชาชนมีความมั่นใจในทีมไทยแลนด์
สำหรับ 15 หน่วยงานภาครัฐร่วมลงนามใน MOU ได้แก่
1. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (สำนักงาน ปปง.)
2. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
3. กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
4. กระทรวงยุติธรรม
5. กระทรวงมหาดไทย
6. กระทรวงการคลัง
7. กระทรวงการต่างประเทศ
8. กระทรวงพาณิชย์
9. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.)
10. กรมสอบสวนคดีพิเศษ
11. สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง
12. กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ
13. ธนาคารแห่งประเทศไทย
14. สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และ ตลาดหลักทรัพย์
15. สมาคมธนาคารไทย และ สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ

















