รมต.ประจำสำนักนายกฯ ระบุ หากต้องการให้การแก้รัฐธรรมนูญผ่านวาระ 3 ทันก่อนสิ้นปี ต้องเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ระหว่าง 8–10 ธ.ค.นี้ แทนการรอเปิดสมัยสามัญ 12 ธ.ค. ย้ำไม่อยากเห็นการยุบสภา เชื่อทุกฝ่ายต้องการให้การแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จ พร้อมเตือนฝ่ายการเมืองอย่านำประเด็นนี้มาเป็นตัวประกันทางการเมือง
เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ทำเนียบรัฐบาล นายภราดร ปริศนานันทกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงความเป็นไปได้ในการขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 8–10 ธันวาคมนี้ ว่า ขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าจะมีการเปิดประชุมในช่วงเวลาดังกล่าวหรือไม่ แต่ส่วนตัวเห็นว่า หากทุกฝ่ายต้องการเห็นการลงมติในวาระ 3 ให้เสร็จก่อนสิ้นปี จำเป็นต้องเปิดประชุมสมัยวิสามัญ เพราะหากรอเปิดประชุมสมัยสามัญวันที่ 12 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันศุกร์ตามปกติจะไม่มีการนัดประชุม อาจทำให้ขั้นตอนต่าง ๆ ล่าช้า
นายภราดร อธิบายว่า ตามรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า หลังจากลงมติวาระที่ 2 แล้ว จะต้องเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 15 วัน ก่อนเข้าสู่การลงมติวาระที่ 3 หากรอเปิดสมัยประชุมวันที่ 12 ธันวาคม ประธานรัฐสภาจะต้องนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 15–16 ธันวาคม ซึ่งเมื่อคำนวณตามกรอบเวลา จะตรงกับวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ จึงไม่สามารถพิจารณาให้เสร็จทันก่อนสิ้นปีได้ ดังนั้น การเปิดประชุมสมัยวิสามัญในช่วงวันที่ 8–10 ธันวาคม จึงเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุด
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่า หากมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ อาจนำไปสู่การยุบสภา นายภราดร กล่าวว่า หากมีการยุบสภาจริง ทุกกระบวนการจะต้องยุติทั้งหมด พร้อมขอให้ทุกฝ่ายช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ โดยเฉพาะฝ่ายการเมืองที่ต้องตระหนักถึงความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถจัดทำประชามติควบคู่กับการเลือกตั้งทั่วไปในอนาคต
“ผมเชื่อว่าจะไม่มีใครยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจในช่วงนี้ เพราะทุกฝ่ายต่างต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จ และจากที่ได้พูดคุยรายบุคคล ทุกคนเข้าใจดีว่าหากมีการยื่นอภิปรายจริง ผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร” นายภราดร กล่าว
เมื่อถูกถามว่า การเร่งผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ อาจถูกมองว่าเป็นการนำประเด็นนี้มาเป็นตัวประกันเพื่อป้องกันการอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือไม่ นายภราดร กล่าวว่า ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะยังมีปัจจัยอื่นที่ต้องพิจารณา โดยเฉพาะการลงมติในวาระที่ 3 ที่จำเป็นต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกวุฒิสภาด้วย จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายเพื่อให้กระบวนการเดินหน้าได้อย่างราบรื่น





































