“ทนายษิทรา” ซัด รองหัวหน้าพรรคใหญ่-ภัยสังคม เคยก่อเหตุขยี้กามสาวหลายราย แถมขู่เหยื่อ “รู้ไหมพ่อเป็นใคร”
จากกรณีที่ นายษิทรา เบี้ยบังเกิด ได้เปิดเผยว่า มีรองหัวหน้าพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง ได้ล่วงละเมิดหญิงวัย 18 ปี กระทั่ง นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมากล่าวว่าไม่ทราบเรื่อง
เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 14 เม.ย. ทนาย”ษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ” เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา ทางคุณแม่ของน้องผู้หญิงที่เสียหาย ได้ทักมาที่ไลน์ @sittra ซึ่งเป็นโดยบอกกล่าวว่า มีความกังวลใจ เนื่องจากลูกสาวได้ถูกรองหัวหน้าพรรคพรรคหนึ่ง ได้ล่อลวงไปทำมิดีมิร้าย ตนจึงสอบถามถึงเรื่องราวดังกล่าว ทางคุณแม่จึงเล่าว่า ทั้งตัวแม่กับน้องเคยมีโอกาสได้ไปฟังรองหัวหน้าพรรคคนดังกล่าว พูดเกี่ยวกับเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลงทุนเรื่องหุ้น จึงชื่นชมปลาบปลื้ม เลยได้มีการขอช่องทางการติดต่อไว้ และจากนั้นจึงมีการติดต่อ (แต่ตนจำไม่ได้ว่าใครติดต่อใครก่อน) จากนั้นจึงมีการนัดทานข้าวที่ร้านอาหาร Above Eleven ด้านบนของโรงแรมแห่งหนึ่งในสุขุมวิท ในวันที่ 11 เม.ย.ที่ผ่านมา เพื่อจะพุดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่น้องผู้เสียหายอยากรู้ ทั้งนี้ ตนทราบมาว่า ที่ร้านดังกล่าว การทำแบบนี้ของรองหัวหน้าพรรค ไม่ใช่ครั้งแรก น้องผู้เสียหายคนนี้ไม่ใช่เหยื่อรายแรก โดยเหตุการณ์คือ น้องผู้เสียหายไปถึงในเวลา 17.00 น. ซึ่งน้องผู้เสียหายมีอายุ เพียง 18 ปี แต่เมื่อไปถึงกลับไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องลงทุน เศรษฐกิจ แต่รองหัวหน้าพรรคกลับถามเรื่องส่วนตัว ถามเรื่องเคยมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ แล้วพอผู้เสียหายเผลอ ก็มีการลวนลาม จูบปาก จับก้น จับมือมาหอม
ตนเลยถามว่ารองหัวหน้าพรรคดังกล่าวทำอย่างไร เพราะเป็นร้านอาหาร โดยน้องผู้เสียหายเล่าว่า โต๊ะเป็นนั่ง 3 คน เป็นเก้าอี้คนละตัว เขาก็เลื่อนก้าวอี้มานั่งใกล้ๆมาจับไม้จับมือ และน้องไม่ดื่มแอลกอฮอล์แต่รองหัวหน้าพรรคคนนี้ก็พยายามสั่งไวน์มาให้น้องดื่ม แล้วก็ได้ดื่มไปนิดหน่อย และน้องรู้สึกไม่ไหว เลยขอกลับก่อนทางรองหัวหน้าพรรคคนนี้เลยอาสาไปส่งผู้เสียหายที่รถไฟฟ้าใต้ดิน แต่ระหว่างทางก็พยายามจะจับเนื้อต้องตัว น้องผู้เสียหายก็พยายามขัดขืน ด้วยความที่เด็กและไม่เคยมีแฟนมาก่อน เกิดความกลัว พอถึงบ้านน้องผู้เสียหายก็ยังไม่กล้าบอกกับคุณแม่ เพราะคุณแม่ยังทักข้อความไปขอบคุณรองหัวหน้าพรรคคนนี้ แต่พอทราบเรื่องจากลูกสาวก็ตกใจและเสียใจมาก เพราะด้วยความชื่นชมชื่นชอบ และคุณพ่อของรองหัวหน้าพรรคคนนี้ก็เป็นคนใหญ่โต จึงไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ต่อมาในวันที่ 12 เม.ย. ทางคุณแม่จึงตัดสินใจทักไลน์มาหาษิทรา ซึ่งตนก็ได้ทราบรายละเอียดคร่าวๆและตกใจว่าเรื่องจริงหรือไม่ จึงขอเบอร์และมีการพูดคุยกัน ทำให้ตนตกใจอย่างมาก จึงได้แนะนำให้คุณแม่ไปแจ้งความก่อน และค่อยมาเจอกันในเวลา 19.00 น. ของวันที่ 12 เม.ย.ที่ร้านอาหาร แต่ปรากฏว่าในวันเดียวกันนั้น หลังการแจ้งความเสร็จ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี ได้สอบปากคำน้องผู้เสียและรวบรวมพยานหลักฐานอย่างรวดเร็ว จากที่ตนนัดเจอกับคุณแม่ในช่วงวันเวลาดังกล่าว จึงเลื่อนมานัดเจอกันวันที่ 13 เม.ย.แทน ซึ่งก็ทราบเบื้องต้นว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการลงพื้นที่ไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดและทุกอย่างอยู่ในสำนวนแล้วเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม ตนได้มีการพูดคุยกับน้องผู้เสียหาย โดยน้องก็บอกกับตนว่าไม่กล้าคุยกับผู้ก่อเหตุ เนื่องจากรู้สึกขยะแขยงจะอ้วก อีกทั้งทางคุณแม่ก็แจ้งกับตนว่าเมื่อวานนี้ (13 เม.ย.) ทางผู้ก่อเหตุได้พยายามติดต่อเข้ามาขอโทษขอมาพบเจอ เพื่อปรับความเข้าใจว่าไม่ได้มีเจตนาร้ายกับน้อง โดยทางคุณแม่ได้พูดคุย แต่ก็ได้แจ้งไปว่าต้องปรึกษากับคุณลุงของน้องก่อน ซึ่งคุณลุงก็ประสงค์ไม่ยอมความ ทั้งนี้ ทางผู้ก่อเหตุยังไม่ทราบว่ามีการแจ้งความ ตนต้องการเอาความจริงออกมาเปิดเผย เพราะป้องกันไม่ให้คนอื่นต้องถูกกระทำเช่นนี้อีกเพราะหลังจากที่ตนเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าวออกไป ก็มีผู้เสียหายทักมาเกือบ 10 คน ในไลน์ @sittra เพื่อขอให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์และบอกเล่าประสบการณ์ที่เคยถูกรองหัวหน้าพรรคดังกล่าวกระทำเช่นเดียวกัน
ทนายษิทรา เผยต่อว่า ตนทราบมาว่าบุคคลดังกล่าวเคยก่อคดีในลักษณะดังกล่าวมาแล้วเมื่อปี 2003 โดยก่อเหตุมา 2 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในเหตุการณ์ มีผู้เสียหายเป็นผู้หญิงอายุ 18 ปี (และได้ถูกดำเนินคดี) จากนั้นทนายษิทราก็ได้มีการยกตัวอย่างผู้เสียหายที่ทักมาเล่าเหตุการณ์ ว่า ได้มีหญิงสาวอีกรายทักมาหาตน พร้อมแนบลิ้งค์ข่าวมาก่อน โดยระบุว่า “ขอแจ้งว่าเป็นรองหัวหน้า….ไม่รู้ว่าเป็นคนเดียวกันหรือไม่” โดยตนก็ได้ตอบกลับไปว่าใช่ แต่ยังไม่ได้มีการพูดคุยรายละเอียดเพิ่มขึ้น ส่วนอีกรายเป็นไฮโซทักมาว่า “สวัสดีค่ะ อยากมาให้ข้อมูล….” ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่ผู้เสียหายรายนี้อยากให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ว่าบุคคลดังกล่าวเป็นคนไม่ดีจริงๆ โดยระบุว่าได้เคยคบหากัน ซึ่งบุคคลดังกล่าวก็มีพฤติกรรมเช่นนี้ โดยทางผู้เสียหายต้องไปทำโปรเจ็คจบ แต่เขาก็ชวนไปคุยที่คอนโดเพราะไม่สะดวก ผู้เสียหายจึงไปเพราะคิดว่าเขาจะช่วย จากนั้นเขาก็พยายามกอดจูบลวนลามและข่มขืน แต่ผู้เสียหายสู้แรงไม่ได้ บวกกับความกลัวด้วย เพราะพ่อเขาใหญ่จริงๆในตอนนั้น ทำได้เพียงเงียบ จากนั้นเขาก็ยังพยายามจะชวนไป ทางผู้เสียหายต้องไปหาตลอด เพราะกลัวถูกแบล็กเมล์ สุดท้ายได้ให้พี่สาวไปเคลียร์ขอเลิก เพราะไปทราบข่าวคดีข่มขืนของเขาที่อังกฤษ ทางผู้เสียหายจึงหนีไปเรียนที่ออสเตรเลีย โดยผู้เสียหายที่เป็นไฮโซสาวรายนี้ก็ได้ขอให้ทนายษิทราจัดการได้ เพราะตลอด 15 ปีที่ผ่านมา อาจมีเหยื่อสาวอีกเยอะ
อีกรายเป็นซึมเศร้าจากการกระทำของบุคคลดังกล่าว ทนายษิทรา เผยว่า มีหญิงสาวรายหนึ่งได้แอดไลน์มา โดยทักมาเพื่อขอให้ข้อมูลดังกล่าว ได้ทิ้งเบอร์โทรศัพท์ จากนั้นตนจึงได้โทรฯกับผู้เสียหายรายนี้ ซึ่งผู้เสียหายรายนี้แต่ก่อนทำงานอีเว้นท์ เขียนข่าวพีอาร์ จึงทำให้ได้พบเจอกับผู้ก่อเหตุคนนี้ ต่อมาผผู้ก่อเหตุได้ขอเลี้ยงข้าวและตามตื๊อมาตลอด จนมีโอกาสได้ไปด้วยกัน ผู้ก่อเหตุก็ใช้จังหวะนี้หลอกเหยื่อรายนี้ไปบนอพาร์ตเมนต์ หลอกว่าจะขึ้นไปเอาของด้านบน ให้ขึ้นไปด้วย สุดท้ายถูกข่มขืน ถึงแม้จะพยายามต่อสู้ขัดขืน แกล้งชัก แต่ก็ไม่สามารถหยุดการกระทำดังกล่าวได้ ซึ่งเรื่องราวนี้เกิดขึ้นในปี2015 ทางผู้เสียหายเคยอยากแจ้งความ แต่ผู้ก่อเหตุคนนี้ขู่ว่า จะแจ้งความรู้ไหมว่าพ่อเขาเป็นใคร และครอบครัวผู้เสียหายจะต้องเจออะไรบ้าง จากนั้นเป็นต้นมา ทางผู้เสียหายก็ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ใช้ยาทานรักษาอาการ ไม่กล้าเล่าให้ครอบครัวฟัง แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว ได้ตัดสินใจเล่าให้ครอบครัวฟัง แม่ผู้เสียหายเสียใจมาก ไม่คาดคิดว่าผู้ก่อเหตุจะเป็นคนแบบนั้น
ทั้งนี้ จากการเปิดเผยถึงเรื่องราวดังกล่าว ทนายษิทรา เผยว่า ถ้าหากตนต้องขึ้นศาลสู้คดี ตนก็พร้อม เพราะต้องการดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ต้องการให้ผู้ก่อเหตุรายนี้ไปก่อเหตุกับใครอีก
