“เทพไท” วิเคราะห์ “นายกฯสำรอง” โอกาสกินแห้วสูง มั่นใจ “บิ๊กตู่” เลือกยุบสภามากกว่าลาออก ชี้มีชื่อ “ลุงป้อม” แค่โยนหินถามทาง
วันที่ 30 เม.ย.65 นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้โพสต์ Facebook ส่วนตัว ข้อความว่า ช่วงนี้มีการพูดถึงกระแสข่าวนายกฯสำรองกัน ให้ได้ยินกันอย่างหนาหู หลังจากที่นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้เปิดประเด็นเสนอ ให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาเป็นนายกฯขัดตาทัพ แทนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จึงทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเป็นไปได้ และความเหมาะสม รวมทั้งการเปิดรายชื่อนายกฯสำรองกันหลายคน เพราะตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ
ถ้าหากพลเอกประยุทธ์ ต้องมีอันเป็นไปจากตำแหน่งนายกฯ ด้วยเหตุผลใดก็ตาม บุคคลที่จะมาเป็นนายกฯคนต่อไป อันดับแรก ต้องมาจากรายชื่อแคนดิเดตของพรรคการเมืองต่างๆก่อน เช่น พรรคภูมิใจไทยมีชื่อของนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคประชาธิปัตย์มีชื่อของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ส่วนพรรคเพื่อไทย มีชื่อของนายชัยเกษม นิติสิริ ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ก็ได้ลาออกจากพรรคเพื่อไทย ไปตั้งพรรคไทยสร้างไทยแล้ว และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ก็ลาออกจากพรรคเพื่อไทยออกไปผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.อยู่ในขณะนี้
ส่วนการเปิดประเด็นเสนอชื่อของพล.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นบุคคลนอกบัญชีของพรรคการเมือง ขึ้นมาเป็นนายกฯแทนพล.อ.ประยุทธ์ ต้องใช้เงื่อนไขตามมาตรา 272 วรรค 2 นั้น น่าจะเป็นการโยนหินถามทาง หยั่งกระแสของสังคม หรือสร้างความหวาดระแวงกันในหมู่พี่น้อง 3 ป.มากกว่า อาจจะเป็นการหวังดีประสงค์ร้ายต่อพล.อ.ประวิตร เพราะถ้าหากพล.อ.ประวิตร ขึ้นเป็นนายกฯแทนพล.อ.ประยุทธ์จริง โอกาสที่จะถูกโจมตี โค่นล้มรัฐบาลจากฝ่ายตรงข้ามง่ายกว่า เพราะต้นทุนทางสังคมของพล.อ.ประวิตร ต่ำกว่าพล.อ.ประยุทธ์ พอสมควร
นายเทพไท กล่าวต่อว่า การที่จะมีนายกฯสำรอง หรือนายกฯคนใหม่ได้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯคนปัจจุบัน จะต้องมีอันเป็นไปเสียก่อน ซึ่งโอกาสหรือเงื่อนไขที่ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ ต้องหลุดจากตำแหน่งนายกฯได้นั้น น่าจะมาจากเหตุ 4 ประการ คือ 1.การยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ และแพ้โหวตในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่สามารถจะยุบสภาได้ต้องพ้นจากตำแหน่งในทันที 2.ญัตติพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยพรรคการเมือง และวิธีการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งเป็นกฎหมายสำคัญของรัฐบาล ถูกคว่ำในสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือยุบสภา
ซึ่งพลเอกประยุทธ์ น่าจะเลือกหนทางการยุบสภามากกว่าลาออก 3.รัฐบาลเสนอพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 และแพ้โหวตในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งรัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบด้วยการยุบสภา หรือลาออก ซึ่งพลเอกประยุทธ์ คงจะเลือกแนวทางการยุบสภาเช่นกัน 4.ถูกศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบ 8 ปีในวันที่ 24 สิงหาคม 2565 ไม่สามารถดำรงตำแหน่งต่อไปได้ ซึ่งทำให้พลเอกประยุทธ์ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปริยาย
“การจะมีนายกฯคนใหม่ หรือนายกฯสำรองได้นั้น พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องติดกับดักทางการเมืองใน 4 ประเด็นนี้ก่อน และมีเพียง 2 ประเด็นเท่านั้น ที่พลเอกประยุทธ์ จะต้องพ้นตำแหน่งโดยไม่มีสิทธิ์ยุบสภา คือการแพ้โหวตในญัตติไม่ไว้วางใจ และถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปีแล้ว ส่วนอีก 2 ประเด็น คือเรื่อง พรบ.งบประมาณรายจ่าย ปี 2566 ไม่ผ่าน และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญแพ้โหวตในสภาผู้แทนราษฎร เป็นการเปิดโอกาสให้นายกรัฐมนตรียุบสภาได้ ซึ่งเชื่อว่าพลเอกประยุทธ์จะใช้ช่องทางการยุบสภามากกว่าการลาออก การปั่นกระแสนายกฯสำรอง มีโอกาสแห้วสูงมาก”นายเทพไท กล่าว