“ยุทธพงศ์” ชิมลางก่อนศึกซักฟอก ตั้งกระทู้ถามสด “ปมท่อส่งน้ำอีอีซี” ข้องใจยกเลิกประมูลรอบแรก และมีแก้ไขทีโออาร์ ด้าน “สันติ” ลุกขึ้นโต้ แจงยิบ “อีสท์ วอเตอร์” ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ ถามกลับให้ค่าตอบแทนรัฐต่ำมาหลายปี เงินเป็นหมื่นล้านหายไปไหน
วันที่ 26 พ.ค.65 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม ทั้งนี้ก่อนเข้าสู่วาระการประชุม มีการตั้งกระทู้ถามสดของนายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสาร คาม พรรคเพื่อไทย โดยสอบถามนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ถึงกรณีความไม่โปร่งใสในโครงการบริหารจัดการท่อส่งน้ำสายหลักพื้นที่ภาคตะวันออก ที่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เป็นผู้รับผิดชอบ ที่มีความไม่โปร่งใสในการคัดเลือกบริษัทที่เข้ามาบริหารจัดการระบบส่งน้ำ โดยเชิญเฉพาะบางบริษัทมาร่วมประมูล ไม่เชิญบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) บริษัท อิตาลเลียนไทย จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโนไทย จำกัด (มหาชน) อีกทั้งการประมูลครั้งแรกที่บริษัทจัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ “อีสท์ วอเตอร์” ให้ผลประโยชน์ตอบแทนสูงสุด แต่กลับถูกยกเลิกประมูล และมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทีโออาร์ และคณะกรรมการคัดเลือกชุดใหม่ในการประมูลรอบสอง ทำให้บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ชนะประมูลรอบใหม่ ถามว่า ทำไมต้องเปลี่ยนแปลงทีโออาร์และคณะกรรมการคัดเลือก เรื่องนี้ต้องนำไปสู่การอภิปรายไม่ว้วางใจพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ที่ไม่แก้ไขปัญหา เข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
ด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า กรมธนารักษ์ไม่มีประสบการณ์บริหารจัดการท่อส่งน้ำ จึงจ้าง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นที่ปรึกษาเพื่อออกแบบและสำรวจระบบส่งน้ำในทุกด้าน ได้รับคำแนะนำจาก ม.เกษตรศาสตร์ว่า ให้เชิญบริษัทใหญ่ๆ ที่มีความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ในภาคตะวันออกมาให้ความเห็นเพื่อประกอบการวิเคราะห์ กระบวนการทุกขั้นตอนมีความรัดกุม รอบคอบ และไม่ให้ใช้วิธีเปิดประมูลทั่วไป ให้ใช้วิธีคัดเลือก เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อระบบส่งน้ำ ซึ่ง 5 บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าประมูล เป็นบริษัทใหญ่ทั้งบริษัท อมตะ, บริษัท อีสท์ วอเตอร์, บริษัท ดับบลิวเฮชเอ, บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง และบริษัท วิค จำกัด (มหาชน) ส่วนที่บริษัท อีสท์ วอเตอร์ ไม่ได้รับการประมูลทั้งที่เป็นรัฐวิสาหกิจนั้น เดิมปี 2535 บริษัท อีสท์ วอเตอร์ เป็นรัฐวิสาหกิจ มีการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ถือหุ้น 100% แต่หลังจากนั้น มีการเปลี่ยนแปลงให้บุคคลอื่นมาถือหุ้นได้ ทำให้ กปภ.ถือหุ้นแค่ 40% และอีก 60% เป็นคนทั่วไป ดังนั้นขณะนี้บริษัท อีสท์ วอเตอร์ จึงไม่ใช่รัฐวิสาหกิจ แต่เป็นบริษัทเอกชน ส่วนการยกเลิกประมูลครั้งแรก เนื่องจากทีโออาร์ไม่สมบูรณ์ ไม่มีความชัดเจนเรื่องปริมาณน้ำ ทำให้บริษัทที่เข้าร่วมประมูล ใช้ปริมาณน้ำต่างกัน จำเป็นต้องประมูลและกำหนดทีโออาร์ใหม่ เพื่อกำหนดปริมาณน้ำให้ชัดเจน โดยให้สิทธิบริษัทเดิมเข้าแข่งขัน จึงสงสัยว่า อีสท์ วอเตอร์ รู้ว่าเป็นผู้เสนอราคาสูงสุดในการประมูลรอบแรกได้อย่างไร ทั้งที่ยังไม่มีการเปิดซองประกวดราคา เรื่องนี้จะต้องสอบคณะกรรมการคัดเลือกชุดแรกด้วย
นายสันติกล่าวว่า การจ่ายค่าตอบแทนให้รัฐในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ที่อีสท์ วอเตอร์ เป็นเจ้าของสัมปทานให้ค่าตอบแทนกรมธนารรักษ์ปีละ 500 กว่าล้านบาทเท่านั้น แต่มาการประมูลรอบล่าสุด ในรอบแรก อีสท์ วอเตอร์ ให้ค่าตอบแทนรัฐ 3,000 ล้านบาท และการประมูลรอบสอง อีสท์ วอเตอร์ เพิ่มค่าตอบแทนให้รัฐเป็น 24,000 ล้านบาท ขณะที่บริษัท วงษ์สยามฯให้ค่าตอบแทน 25,000 ล้านบาท ดูแล้วน่าตกใจที่การบริหารจัดการน้ำ มีมูลค่านับหมื่นล้าน แต่ทำไมที่ผ่านมา รัฐได้ค่าตอบแทนแค่ 500 ล้านบาทต่อปี เงินเป็นหมื่นล้านบาทหายไปไหน จะต้องตรวจสอบเจ้าหน้าที่ให้ชี้แจงว่า รายได้รัฐหายไปไหนช่วงที่ผ่านมา
“ความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ระบุบริษัท อีสท์ วอเตอร์ มีสินทรัพย์ 11,069 ล้านบาท ขณะที่บริษัท วงษ์สยามฯ มีสินทรัพย์เพียง 1,247 ล้านบาทนั้น ไม่สนใจเรื่องที่ตั้ง หรือหน้าตาบริษัท เพราะบริษัทหน้าตาดี แต่โกงมีเยอะแยะ ขอให้เปลี่ยนความคิด จะดูแต่ภายนอกไม่ได้ การบอกว่าจะอภิปรายไม่ไว้ใจนายกรัฐมนตรีนั้น ที่ผ่านมา นายกฯเป็นห่วงเรื่องนี้ เรียกไปสอบถาม และได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบแล้ว แต่ผลประโยชน์ที่หายไปในช่วงทีผ่านมา ต้องมีการตรวจสอบ ไม่อยากให้แถไปเรื่อยๆ เป็นผู้แทนต้องซื่อสัตย์กับประชาชน”นายสันติ กล่าว
