“หมอชลน่าน” ซัดนายกฯจัดงบฯ66 ถูกพรรคร่วมเรียกค่าไถ่-สิ้นหวัง ซุกหนี้ 3 ก้อนใหญ่เป็นมรดกให้ประชาชน แฉงบมั่นคงไซเบอร์เพิ่ม120 % ปูดงบคมนาคมส่อโกง “บิ๊กตู่”สวนทันควัน ยันจัดงบลงพื้นที่ตามความจำเป็น ไม่เหมือนในอดีต “ไม่เลือกไม่ให้งบ”
วันที่ 31 พ.ค.65 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภา ฯเพื่อพิจารณางบปี 66 ต่อมา 11.10 น. นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี2566 ว่า การจัดทำงบ3.18 ล้านล้านบาท ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่แก้ปัญหาประเทศ ฝ่ายค้านไม่รับหลักการร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ เพราะทำลายประเทศ สู้เสียเวลาไปบ้าง แต่นำเม็ดเงินไปจัดสรรใหม่ให้เหมาะสม ขณะนี้ประเทศอยู่ในภาวะวิกฤติ ล้วนเกิดการการบริหารงานผิดพลาดของรัฐบาล เหตุผลที่ไม่ให้รัฐบาลบริหารงบก้อนนี้เพราะเป็นรัฐบาลหมดสภาพ บริหารด้วยวาจา แก้ตัวโยนโทษให้คนอื่น หาทางอยู่ต่อเพื่อสืบทอดอำนาจ ทั้งที่ตัวเองไร้ความรู้ ความสามารถ สิ่งที่น่าเสียใจคือ พล.อ.ประยุทธ์มาจากการยึดอำนาจ แต่แปลงร่างตัวเองว่า มาจากประชาธิปไตย ทำกติกาเอื้อประโยชน์ต่อการเข้าสู่อำนาจตัวเอง เป็นประชาธิปไตยจอมปลอม มีบุคลิกภาพแปรปรวน แบบNarcisisitic หรือหลงตัวเอง ขาด 2M คือ 1. Money หาเงินไม่เป็น หาเงินไม่เก่ง 2.empathy ขาดความเห็นอกเห็นใจ นายกฯฝากมรดกหนี้ ทั้งหนี้สาธารณะทะลุเพดาน หนี้ครัวเรือนขยับจากร้อยละ 70 เป็น 90 และหนี้เสียที่ถูกซุกไว้ใต้พรมจากมาตรการพักหนี้และมาตรการของธปท.สิ่งที่ประชาชนขาดคือ ความภาคภูมิใจในตัวผู้นำประเทศ ไม่อยากใช้คำว่าอับอายขายขี้หน้า การบริหารงานของนายกฯ ขาดหลักนิติธรรม เป็นกองปัญหาประเทศ ถ้าอยากแก้ไขต้องเปลี่ยนผู้นำ เพื่อพาประเทศพ้นวิกฤติ ต้องลงมติไม่รับหลักการร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ให้นายกฯยุบสภาหรือลาออก
นพ.ชลน่านกล่าวว่า การจัดงบแบบขาดดุลครั้งนี้ ต้องกู้เงินมาอีก 695,000 ล้านบาท จากวงเงินที่จะกู้ได้ 708,000 ล้านบาท แต่บอกว่า จะจัดเก็บรายได้ 2.49 ล้านล้านบาท ไม่เชื่อจะเก็บได้จริงตามเป้า เป็นงบตกแต่งตัวเลข ไม่ตอบโจทย์แก้ปัญหา การจัดงบให้กระทรวงต่างๆไม่ตอบโจทย์ภาวะวิกฤติประเทศ ไม่จัดลำดับความสำคัญตามข้อเท็จจริง เป็นงบสิ้นหวัง อาทิ งบเอสเอ็มอีถูกตัดถ้วนหน้า แต่ไปเพิ่มงบความมั่นคง โดยเฉพาะงบด้านความปลอดภัยไซเบอร์ เพิ่ม 120% ไม่มีผลขับเคลื่อนต่อเศรษฐกิจ ส่วนงบการศึกษาก็ไม่ได้รับความสำคัญ และสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นคือ งบส่อเอื้อประโยชน์ หรืองบส่อโกง การจัดเม็ดเงินลงไปในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น งบกรมทางหลวง งบกรมทางหลวงชนบท งบโลจิสติกส์พุ่งสูงขึ้น จัดงบเสมือนถูกเรียกค่าไถ่จากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อให้อยู่ในอำนาจยาวต่อไป หรือการจัดงบจังหวัด กลุ่มจังหวัดก็ถูกปู้ยี่ปู้ยำส่อเอื้อพวกพ้อง กระจุกตัวในจังหวัดเป้าหมายทางการเมือง เป็นงบส่อโกง ใช้ภาษีประชาชนเพื่อสืบทอดอำนาจ สรุปคือเป็นรัฐบาลที่สิ้นหวัง จัดงบแบบสิ้นคิด ส่อโกง เอื้อพวกพ้อง ไม่อาจรับหลักการงบรายจ่ายฉบับนี้ได้ ไม่ต้องไปแก้ไขในชั้นกมธ. เพราะไม่เกิดประโยชน์แก้วิกฤติ ต้องตกไปอย่างเดียว 3วันหลังจากนี้ พรรคเพื่อไทยจะดำเนินผ่านภารกิจ “เจาะงบสิ้นหวัง จับงบส่อโกง และเจองบฉบับเพื่อไทย”
จากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม สวนกลับทันทีว่า การตัดงบประมาณนั้นเกิดขึ้นในชั้นของฝ่ายนิติบัญญัติ โดยปี 2565 พบว่ามีการเสนองบลงทุน รวม 6.2 แสนล้านบาท แต่กรรมาธิการฯ ปรับลดรวม 1.2 หมื่นล้านบาท เหลือ 6.1 แสนล้านบาท และที่ระบุว่าเมื่อสภาฯ ปรับงบนำมาไว้ในงบกลาง ตนไม่สามารถสั่งใช้ได้เอง ต้องเสนอครม. และงบประมาณที่ใช้ต้องจัดสรรให้หน่วยรับงบประมาณ และโครงการที่รองบประมาณ ซึ่งการจัดสรรต้องสอดคล้องความต้องการในพืนที่ โดยทุกปีเสนองบประมาณ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท เสนอเกิน 50% เสนอมา 5 แสนล้านบาท การปรับลดต้องสอดคล้องความต้องการกับพื้นที่ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่บางคนประกาศไม่เลือก จะไม่ให้ ดังนั้นขอให้พิจารณาว่าแผนโครงการครอบคลุมทุกจังหวัดหรือไม่
“ที่บอกว่าส่อโกง ต้องไปพิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรม หากมีหลักฐานฟ้องร้องกันไป ขอให้ไปพิจารณาด้วยว่า การฟ้องร้องที่ผ่านมาเกิดอะไรในกระบวนการยุติธรรม ติดคุก หนีคดีหรือไม่” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว